
นายกสมาคมชาวนาฯเผย ชาวนาจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมคิกออฟจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท วันแรก พรุ่งนี้ (28 พฤศจิกายน 2566) คาดว่าภายใน 5 วันจะสามารถจ่ายเงินได้ครบทุกราย เสนอรัฐบาลสนับสนุนแหล่งน้ำและเมล็ดพันธุ์ให้ชาวนา
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตนและตัวแทนชาวนาจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อคิกออฟการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ปีการผลิต 2566/2567
โดยเป็นค่าช่วยบริหารจัดการ ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ และได้เงินต่อครัวเรือนครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งรัฐบาลจะเริ่มจ่ายเงินให้กับชาวนา เริ่มวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป โดยคาดว่าภายใน 5 วัน ชาวนาจะได้รับเงิน 1,000 บาทครบทุกราย

“เกษตรกรที่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงเกษตรฯ ที่จะได้รับสิทธิในการรับไร่ละ 1,000 บาท จำนวน 3.9 ล้านราย ซึ่งธนาคารจะใช้เวลาประมาณ 5 วัน ทยอยโอนจ่ายเข้าบัญชีให้ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นรอบ ๆ ตามพื้นที่จนครบ ทำให้เกษตรกรมีรายได้นำไปใช้จ่ายทันช่วงเทศกาลปีใหม่”
อย่างไรก็ดี ผมก็จะพูดคุยและหารือกับรัฐบาลเพิ่มเติมในการให้ช่วยสนับสนุนชาวนา โดยเฉพาะการจัดการแหล่งน้ำให้กับชาวนา เพื่อให้เพียงพอ และการส่งเสริมเรื่องของเมล็ดพันธุ์ เพราะชาวนาขาดแคลนมาก และก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ชะลอขายข้าว เป็นต้น
ชาวนาเช็กสิทธิ
ชาวนาสามารถเช็กเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท โดยตรวจสอบสิทธิ เงินช่วยชาวนา ปี 2566/2567 ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนี้
- คลิกไปที่เว็บไซต์ https://chongkho.inbaac.com
- กรอกเลขที่บัตรประชาชนจำนวน 13 หลัก
- หลังจากกรอกเลขบัตรประชาชนจำนวน 13 หลัก จะมีรายละเอียดบัญชี จำนวนเงิน และโครงการช่วยเหลือที่ได้รับ
ช่องทางโอนเงิน
ช่องทางตรวจสอบผลการโอนเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท
- ตรวจสอบผลโอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่น BAAC Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง
- มีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่านบริการ BAAC Connect ทาง Line : BAAC Family
หลักเกณฑ์จ่ายเงิน
หลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่ายโอนเงินให้ชาวนา 1,000 บาท
- จ่ายโอนเงินไร่ละ 1,000 บาท
- จ่ายโอนสูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 20,000 บาทต่อครัวเรือน
- จ่ายโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงผ่าน ธ.ก.ส.
- ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรเป็นผู้ปลูกข้าวปี 2566/2567 กับกรมส่งเสริมการเกษตร
อย่างไรก็ตาม วงเงินงบประมาณการช่วยเหลือในครั้งนี้อยู่ที่จำนวน 56,321.07 ล้านบาท จำแนกเป็น
- งบประมาณจ่ายขาดให้เกษตรกร แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. วงเงิน 54,336.14 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายดำเนินการ ธ.ก.ส. วงเงิน 1,984.93 ล้านบาท (ชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.61 (ต้นทุนเงินถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก+ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน) และค่าบริหารจัดการ (รายละ 5 บาท)
เอกชนเสนอรัฐ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการเข้าพบกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การส่งออกข้าวไทยและความต้องการข้าวในตลาดโลก ซึ่งนายเศรษฐามีความเป็นห่วงถึงราคาข้าวหอมมะลิที่ลดลงในช่วงเดือนที่แล้ว จึงได้ชี้แจงเหตุผลไปว่า เกิดจากมีสถานการณ์ฝนตกหนัก ทำให้ข้าวเปลือกมีความชื้นสูงและราคาปรับลดลง ซึ่งไม่ได้มีปัญหาเกิดจากเรื่องการกดราคารับซื้อแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิได้เริ่มขยับกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติแล้ว โดยมีการปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนถึงตันละ 2,000 บาท ทำให้ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่มีความชื้นเฉลี่ยที่ 15% มีราคาอยู่ที่ตันละ 14,500-15,000 บาท
นอกจากนี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวยังได้มีการเสนอรัฐบาลถึงนโยบายการบริหารข้าวระยะต่อไป โดยมีความกังวลว่าในปีหน้าหากอินเดียมีการกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้งอาจจะกระทบต่อราคาข้าวโลก และราคาข้าวเปลือกในประเทศให้ปรับลดลงได้ เนื่องจากอินเดียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลก
ซึ่งประเมินว่าในช่วงเดือน เม.ย. 67 รัฐบาลอินเดียอาจมีการทบทวนกลับมาส่งออกข้าว ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงไม่ต่ำกว่าตันละ 50 ดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลมีการเตรียมพร้อมรับมือการส่งออกในปีหน้า โดยเฉพาะการเร่งหารือกับทางการจีนในการช่วยเร่งนำเข้าข้าวในส่วนที่ค้าง จากการทำสัญญาจีทูจีกับรัฐบาลไทยกว่า 2 แสนตัน ให้เสร็จโดยเร็ว รวมถึงการขยายตลาดข้าวใหม่ ๆ เช่น อิหร่าน ซึ่งเป็นผู้บริโภคข้าวสำคัญ
แต่ที่ผ่านมาติดปัญหาถูกการคว่ำบาตรจากหลายชาติในตะวันตก ทำให้มีการส่งออกข้าวได้ยาก หากรัฐบาลแก้ไขได้ใน 2 จุดนี้ เชื่อว่าจะช่วยพยุงราคาข้าวในปีหน้าให้อยู่ในระดับที่ดีได้ต่อไป