
ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งเป้า 3 ปี หนุนสินทรัพย์ AUM-รายได้ธุรกิจมั่งคั่ง เติบโต 2 หลัก ลุยกลุ่ม Wealth Lending หลังปีนี้โตพรวด 70% พร้อมขึ้นแท่นที่หนึ่งด้าน NPS-มาร์เก็ตแชร์-บริหารพอร์ตสร้างผลตอบแทนให้ยั่งยืน พร้อมนำ AI วิเคราะห์ข้อมูลเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแบบครบวงจร
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ในปี 2567 ยอมรับว่าอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ (AUM) ยังถือเป็นหัวใจหลัก หลังจากในปี 2566 ที่มีอัตราการเติบโตในระดับ 7% หรือมียอด AUM อยู่ที่ราว 6.5 แสนล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ 4% โดยเป็นการเติบโตในทุกประเภทผลิตภัณฑ์ และในทุกสินทรัพย์การลงทุน
อย่างไรก็ดี ธนาคารตั้งเป้าแผน 3 ปี ยังคงเติบโต AUM เป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งจะเน้นในกลุ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Asset Low Risk) และตราสารหนี้ จะเป็นพระเอกในปี 2567 ส่วนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมองว่าน่าจะดีขึ้น หลังจากย่อตัวตาม NAV แล้วในปีนี้
ขณะที่รายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง โดยในปี 2566 มีอัตราการเติบโต 20% ซึ่งมาจากทุกประเภทสินค้า ทั้งในส่วนของเงินฝาก ผลิตภัณฑ์การลงทุน และประกัน ซึ่งทิศทางในปี 2567 ยังคงสามารถสร้างรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยจะเติบโตในกลุ่ม Wealth Lending โดยเฉพาะที่นำทรัพย์ที่เป็นที่ดินมาขอวงเงินในการลงทุน จากปีนี้ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 70% เป็นต้น
นอกจากนี้ ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า ใน 3 ปีข้างหน้าไว้ ดังนี้ คือ 1.เป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้าด้วยการส่งมอบประสบการณ์การบริหารความมั่งคั่ง ภายใต้กลยุทธ์ Digital Wealth with Human Touch
2.ผู้นำอันดับหนึ่งสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการในเชิงของผู้ให้คำปรึกษา (Advisory) เพื่อนำมาซึ่งการได้รับความไว้วางใจและเพื่อเป็น Main Wealth Bank ของลูกค้า และ 3.ผู้นำในการบริหารภาพรวมพอร์ตโฟลิโอเพื่อก้าวข้ามทุกความท้าทาย และสร้างผลลัพธ์ด้านผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“SCB WEALTH มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และธนาคารวางเป้าหมายในการเป็น ‘ดิจิทัลแบงก์อันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง’ จะเป็น Thought Partners ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า และจะอยู่กับลูกค้าทุกช่วงจังหวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด”
ดร.ยรรยงกล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะลุกลามหรือยืดเยื้อนานเท่าใด แต่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง SCB WEALTH ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า Wealth และลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเป็น Wealth อยู่มากกว่า 1 ล้านคน ด้วยความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด ได้มีการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย เช่น ผลิตภัณฑ์การลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ ในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้นหรือกองทุนกลุ่มตราสารตลาดเงิน (Money Market) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ Capped Floored Floater Note หรือ Callable Note เป็นต้น
สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ไม่ผันผวนจนเกินไป และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในภาวะดอกเบี้ยสูง เช่น กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน และสินเชื่อเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง (Wealth Lending ประเภท Property Backed Loan และ Lombard Loan) ที่มียอดสินเชื่อเติบโตขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน Regular Unit-linked ยังครองอันดับ 1 ในตลาดประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในปีนี้
“ในปีนี้ SCB WEALTH ยังคว้ารางวัลได้สูงถึง 11 รางวัลระดับโลก เป็นรางวัลที่โดดเด่นในการเป็น Digital Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ มีการนำ Data มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน และดูแลพอร์ตลูกค้าที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เฉพาะลูกค้าแต่ละราย ซึ่งสามารถการันตีความเป็น ‘Digital Wealth with Human Touch’ ได้อย่างแท้จริง”