ในปี 2567 ภาครัฐยังคงให้ความสำคัญกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในหลาย ๆ มาตรการ โดยที่เริ่มแล้ว ก็คือ มาตรการ “Easy E-Receipt” ที่ให้นำค่าซื้อสินค้าหรือบริการในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งทำให้หลาย ๆ ธุรกิจได้รับอานิสงส์ไปด้วย หนึ่งในนั้น ก็คือ ธุรกิจบัตรเครดิตนั่นเอง
ลดหย่อนภาษีปลุกยอดใช้จ่าย
นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า จากที่ฝ่ายวิจัยได้วิเคราะห์ 2 ธุรกิจบัตรเครดิตที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) และ บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS) ประเมินว่า ธุรกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตร (Spending) จะมีทิศทางดีขึ้น แต่กำไรคงไม่ได้เติบโตหวือหวา
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
- BITE SIZE : ถอนเงินไม่ใช้บัตร ข้ามแบงก์ได้แล้ว ธนาคารไหนรองรับบ้าง
ทั้งนี้ ปัจจัยมาตรการ “Easy E-Receipt” ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ถือว่าตอบโจทย์ฐานลูกค้าที่มีบัตรเครดิต นอกจากนี้ แนวโน้มการบริโภคปีนี้ก็คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่จะจบลง สำหรับการผ่อนจ่ายชำระขั้นต่ำ ที่ขยับจาก 5% ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ซึ่งอาจจะส่งผลให้เห็นปริมาณหนี้เสีย (NPL) สูงขึ้นได้
คาด “KTC” กำไรปานกลาง
สำหรับ KTC คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 7,800 ล้านบาท ในปี 2567 เติบโตปานกลางในระดับ 6.5% โดยสินเชื่อจะเติบโตได้ 10% ขณะที่ยอด Spending คาดว่าจะเติบโต 15% สินเชื่อส่วนบุคคลเติบโต 5% และ “เคทีซีพี่เบิ้ม” ยอดสินเชื่อใหม่จะอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท
“ปัจจัยผลักดันการเติบโตของกำไรปกติของ KTC จะเป็นการเติบโตของสินเชื่อที่สูงขึ้นเป็น 5-6% จาก 3.9% ในปี 2566 และ Credit Cost ลดลงเล็กน้อย จาก 5.4% ในปี 2566 ในระยะสั้นคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2566 จะเติบโตในระดับปานกลาง YOY
โดยได้แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อขนาดใหญ่และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่วนกำไรไตรมาส 4/2566 จะลดลงเล็กน้อย QOQ จากประมาณการอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ลดลง”
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาของ KTC ถึงสิ้นปีคาด NPL อยู่ที่ 5.4% แต่ต้นปี 2567 คาดว่าจะสูงขึ้นมาที่ 5.8-5.9% จากนั้นระหว่างปีจะค่อย ๆ ลดลงมาจากการเร่งระบายลูกหนี้”
“AEONTS” โตไม่หวือหวา
นายกรกชกล่าวอีกว่า ขณะที่ AEONTS คาดว่าจะมีกำไร ปีบัญชี 2567 (มี.ค. 66-ก.พ. 67) จะอยู่ที่ 2,909 ล้านบาท ลดลง -24% จากปีก่อน (YOY) โดยคาดกำไรงบฯไตรมาส 3/2567 (ก.ย.-พ.ย. 66) จะอยู่ที่ 703 ล้านบาท ลดลง -17% เทียบกับไตรมาสก่อน (QOQ)
เนื่องจากไม่มีกำไรจากการขาย NPL เหมือนในไตรมาส 2/2567 และลดลง -36% YOY ส่วนปีบัญชี 2568 (มี.ค. 67-ก.พ. 68) คาดกำไรจะอยู่ที่ประมาณ 3,332 ล้านบาท
“ปีบัญชี 2567 เราคาดว่ากำไรจะลดลง -24% YOY ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ลดลง 56bps YOY ตามต้นทุนดอกเบี้ย อัตราส่วนต้นทุน/รายได้ และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (Credit Cost) ที่สูงขึ้น จากการเก็บเงินสดที่อ่อนแอจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนที่สูง ส่งผลให้เราคาดว่ากำไรช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 คิดเป็น 74% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2567”
ทั้งนี้ คาดว่า NPL ของ AEONTS จะยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 8% ในปีนี้ แม้ว่า Spending ของบัตรจะมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่การเติบโตของกำไรคงจะไม่ได้หวือหวามากนัก
นอกจากนี้ ผลกระทบจากมาตรการบรรเทาหนี้ล่าสุดของรัฐบาล คาดว่าจะกระทบ AEONTS อย่างจำกัด จากที่รัฐบาลมีแผนที่จะใช้ “คลินิกหนี้” สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็น NPL เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้เหลือ 3-5% และแปลงสินเชื่อเป็นสินเชื่อระยะยาวสูงสุด 10 ปี
“คาดว่าผลกระทบต่อผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลอย่าง AEONTS จะมีอยู่อย่างจำกัด เพราะจากมาตรการบรรเทาหนี้ที่ถูกบังคับใช้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหาร AEONTS ระบุว่ามีลูกค้าเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการคลินิกหนี้”
แนะนำซื้อ KTC-ถือ AEONTS
นายกรกชกล่าวอีกว่า สำหรับ KTC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 57.5 บาท โดยมองว่ามาตรการจูงใจทางภาษี สำหรับนักช็อปจากรัฐบาลในปี 2567 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นให้กับ KTC มี Spending เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2567 ได้
ส่วน AEONTS แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 158 บาท ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าความท้าทายหลักต่อคุณภาพสินทรัพย์ของ AEONTS คือการเพิ่มการชำระเงินขั้นต่ำของบัตรเครดิตเป็น 8% และ 10% ในปี 2567-2568 จาก 5% ในปี 2566 ซึ่งอาจเพิ่มการก่อตัวของ NPL ใหม่อีกครั้งในช่วงต้นปี 2567
“Easy E-Receipt” หนุนรูดปรื๊ด
นายนันทวัฒน์ โชติวิจิตร กรรมการบริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดว่าแนวโน้ม Spending ของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 1/2567 น่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566 เพราะได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Easy E-Receipt ซึ่งจะคล้ายกับช่วงที่มี “ช้อปดีมีคืน” ในปีก่อนที่ลูกค้าออกมาใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี อย่างไรก็ดี จะมีผลบวกน้อยแค่ไหนอาจต้องรอดูอีกครั้ง
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตร KTC กล่าวว่า แนวโน้ม Spending ในไตรมาสที่ 1/2567โดยเฉพาะในเดือน ม.ค.-ก.พ.นี้ จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการ Easy E-Receipt ที่ให้สิทธิผู้ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท โดยคาดว่าจะมียอดใช้จ่ายในช่วง 2 เดือนแรกเพิ่มขึ้นราว 20% ใกล้เคียงกับช่วงที่มีโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ในปีก่อน
สำหรับเป้าหมายการเติบโต Spending ในปี 2567 อยู่ที่ราว 15% จากปีก่อนที่เติบโตได้สูงกว่าเป้าหมายที่ 10% เล็กน้อย และตั้งเป้าหมายยอดบัตรใหม่ในปีนี้ที่ 2.3 แสนใบบัตร
“KTC พยายามเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย”
ส่วนการกำหนดเพิ่มการชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% นั้น ไม่น่าจะกระทบมากนัก โดยผู้ถือบัตร KTC มีสัดส่วนจ่ายเต็มจำนวน 70% ที่เหลือจ่ายชำระไม่เต็ม และส่วนใหญ่จ่ายสูงกว่า 5% อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามใกล้ชิด
ชี้ ธปท.เข้มปล่อยกู้กระทบไม่มาก
นางประณยากล่าวว่า ผลประกอบการของปี 2566 ที่จะมีการรายงานในเดือน ก.พ.นี้ เบื้องต้นคาดว่าผลงานน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยคาดว่า Spending จะขยายตัวมากกว่า 10% สูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย และในปี 2567 ตั้งเป้า Spending โตอยู่ที่ 15%
ขณะที่แนวโน้มคุณภาพสินเชื่อยังคงให้ความสำคัญและมีการคัดกรองคุณภาพลูกค้าค่อนข้างเข้มงวด ทำให้ NPL อยู่ที่ 1.3% ต่ำกว่าภาพรวมทั้งระบบที่อยู่ 3%
ด้านผลกระทบจากหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) มีผลค่อนข้างจำกัด เนื่องจากบริษัทได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่แล้ว ทั้งการให้ข้อมูลถูกต้องและชัดเจน รวมถึงไม่กระตุ้นให้ลูกค้าก่อหนี้เกินจำเป็น
“ผลกระทบจากเกณฑ์ของ ธปท.ค่อนข้างจำกัด เพราะเราค่อนข้างเข้มมานานแล้ว ตั้งแต่เกณฑ์การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล หรือ Market Conduct ทำให้เกณฑ์ที่ออกมาล่าสุด จึงไม่น่ามีผลกระทบต่อผลประกอบการ การหาลูกค้าใหม่ในส่วนของบัตรเครดิตมากนัก