ชะตาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จะเป็นอย่างไรในปี 2024

หุ้นเทคโนฯ
คอลัมน์ : สถานีลงทุน
ผู้เขียน : สวภพ ยนต์ศรี บลจ.ทิสโก้

ในปี 2023 ถือเป็นปีทองของการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ ดัชนี Nasdaq 100 ที่นำโดย 7 หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นกลุ่ม Magnificent 7 ซึ่งประกอบไปด้วย Apple Microsoft Nvidia Meta Alphabet Amazon และ Tesla สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 50%

อย่างไรก็ดีในช่วงวันทำการท้าย ๆ ของปี 2023 ต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2024 เริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาจากบรรดาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้น Apple ที่ต้องเผชิญกับหลายปัญหารุมเร้า จนนักลงทุนเริ่มเกิดความกังวลว่าหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่เคยเป็นพระเอกของพอร์ตการลงทุนในปี 2023 จะกลับกลายร่างมาเป็นผู้ร้ายในปี 2024 หรือไม่

ซึ่งก่อนอื่นสิ่งแรกที่นักลงทุนอาจจะต้องยอมรับก็คือในปี 2024 โอกาสที่หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เท่ากับหรือดีกว่า 2023 ถือเป็นเรื่องยากมาก เพราะตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้มีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากกว่าปี 2023 คือ ปี 1991 (+65%), 1998 (+85%) และ 1999 (+102%)

และเหตุผลที่ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นได้ดีในปี 2023 นอกเหนือจากปัจจัยบวกเป็นรายเฉพาะของแต่ละบริษัทแล้ว ยังมาจากการที่ตลาดคาดหวังว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ซึ่งตลาดคาดหวังว่าในปี 2024 Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 6 ครั้ง ดังนั้นหาก Fed ทำการปรับลดดอกเบี้ยลงไม่ถึงจำนวนที่ตลาดคาดไว้ ปัจจัยบวกที่เคยได้มาจากในปี 2023 ก็อาจหมดไป

อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าโอกาสที่ดัชนี Nasdaq 100 จะปรับเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าหรือเท่ากับในปี 2023 เป็นเรื่องยาก แต่หากดูจากปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ แล้ว ก็จะพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ดัชนี Nasdaq 100 จะยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ

โดยเฉพาะธีมการลงทุนใน AI ที่ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง อาทิ Microsoft ที่กลายเป็นบริษัทที่มี Market Cap มากที่สุดแซงหน้า Apple (ณ วันที่ 12 มกราคม 2024) จากการลงทุนใน ChatGPT ซึ่งน่าจะยังมีโอกาสสร้างรายได้ให้เติบโตหลังจากนี้

และอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับประโยชนจากเทคโนโลยี AI คือ Nvidia ที่ถึงแม้ราคาหุ้นจะสะท้อนปัจจัยบวกจากการเติบโตของธุรกิจชิป AI ที่ใช้กับ Data Center มามากแล้ว แต่ล่าสุด Nvidia ก็ยังงัดไม้เด็ดด้วยการเปิดตัวชิป AI ซึ่งใช้กับคอมพิวเตอร์ PC และ Notebook

ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป สามารถใช้งาน AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ด้าน Alphabet ซึ่งมี Bard AI คู่แข่งสำคัญกับ ChatGPT นอกจากรายได้หลักจากโฆษณาที่มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวแล้ว การนำ Bard AI ไปใส่ในผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ก็ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้แหล่งใหม่ให้กับบริษัท

ส่วนบริษัทกลุ่มอื่น ๆ ที่อาจยังไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจาก AI มากนัก แต่ก็ถือว่ายังมีปัจจัยหนุนรออยู่ในปี 2024 เช่นเดียวกัน โดย Meta (Facebook) ในช่วงเริ่มต้นของปี 2024 ราคาปรับเพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากนักวิเคราะห์เริ่มมีมุมมองบวกต่อรายได้ของบริษัทที่หลัก ๆ มาจากโฆษณาว่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีในปี 2024

นอกจากนี้การปรับโครงสร้างธุรกิจในการหันมาลดรายจ่ายและเน้นการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงในธุรกิจที่คาดหวังรายได้ได้สูงเท่านั้นมากยิ่งขึ้นก็เริ่มส่งผลบวกมาที่ผลการดำเนินงานของบริษัท

ส่วนบริษัทที่น่าจะยังมีรายได้อย่างสม่ำเสมอและยังมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งมาโดยตลอดคือ Amazon ซึ่งธุรกิจหลักคือ e-Commerce และ Cloud Computing ก็ยังสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี

โดย 2 บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ที่ดูเหมือนจะต้องเผชิญกับปัญหาหนักที่สุด คือ Apple ที่ต้องเจอกับทั้งปัญหาการแบนการใช้ iPhone ในจีน และการที่ยอดขาย iPhone เริ่มชะลอตัวลง และ Tesla ที่ต้องเสียอันดับ 1 บริษัทที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าให้กับ BYD บริษัทคู่แข่งสำคัญสัญชาติจีน

แต่ต้องไม่ลืมว่าในปีนี้ Apple มีผลิตภัณฑ์ใหม่คือแว่น Apple Vision Pro เตรียมวางจำหน่วย ด้าน Tesla ก็เตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทมาขายในจีนเพื่อแข่งขันกับ BYD หวังว่าจะทวงอันดับ 1 ในการเป็นบริษัทที่ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากที่สุดกลับมาเช่นเดียวกัน

ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงมีปัจจัยบวกรอสนับสนุนอยู่อีกมากในปีนี้ อย่างไรก็ดีหลังจากราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมาแรง การเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้างจึงเป็นเรื่องธรรมดา

นักลงทุนที่ยังหาจังหวะและโอกาสในการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในปี 2024 การรอให้ราคาปรับลงมามากกว่านี้แล้วทยอยเข้าลงทุนน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม หรือนักลงทุนที่มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่สูงแล้ว การกระจายความเสี่ยงออกมาลงทุนในกลุ่มอื่นที่ราคายังไม่ปรับเพิ่มสูงขึ้นมากนัก อาทิ กลุ่ม Healthcare หรือหุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเองแต่เป็นขนาดกลาง-เล็ก ก็น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม