เปิด 10 หุ้นไทย ต่างชาติเทขาย มากสุดในเดือน ม.ค. 67

หุ้นไทยดิ่ง
ภาพจาก PIXABAY

เปิด 10 หุ้นไทย ต่างชาติเทขาย  ในเดือนมกราคม 2567 โดย CPALL ขายมากสุด ที่ 2,178 ล้านบาท ตามด้วย CPN ที่ 1,502 ล้านบาท

วันที่ 20 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมานับว่าตลาดหุ้นไทยผันผวนหนักมากมาโดยตลอด โดยรวมทั้งปีกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ขายสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 192,489.94 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้นักลงทุนต่างคาดหวังว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 1 ม.ค. 66-18 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ยังคงมีต่างชาติขายสุทธิออกอย่างต่อเนื่องรวมแล้วกว่า 16,030.93 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่อยู่ในระดับสูง โดยหากเทียบกับภูมิภาคพบว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นรองเพียงไต้หวันเท่านั้นที่ต่างชาติเทขายมากสุด สร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้หากสำรวจข้อมูลนักลงทุนต่างชาติผ่านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)  พบว่า นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 18 ม.ค. 66 ทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยพบว่า ตลาดหุ้นไต้หวัน นักลงทุนต่างชาติเทขายมากสุดที่ระดับ 4,398 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยตลาดหุ้นไทยที่ 453 ล้านเหรียญสหรัฐ และเวียดนามขายสุทธิที่ 42 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้จากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 1-18 ม.ค. 66 ดังนี้

1.CPALL มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,178.8 ล้านบาท

2.CPN มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,502.1 ล้านบาท

3.SCC มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 604.7 ล้านบาท

4.LH มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 353.4 ล้านบาท

5.OR มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 347.4 ล้านบาท

6.TISCO มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 295.4 ล้านบาท

7.HANA มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 286.2 ล้านบาท

8.JMART มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 188.5 ล้านบาท

9.SAWAD มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 183.0 ล้านบาท

10.BEC มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 145.2 ล้านบาท

ขณะที่นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สาเหตุที่ตลาดนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ อาทิ 1.เงินเฟ้อไทยเดือน ธ.ค. 2566 ติดลบ 0.83% เป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 34 เดือน ทำให้เกิดความกังวลว่าจีดีพีไตรมาส 4/2566 ออกมาจะต่ำกว่าคาด

2.ความกังวลหุ้นกู้ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะเป็นเรื่องเดิมเมื่อปีที่แล้ว ที่เป็นปัจจัยกระทบความมั่นใจในการลงทุนให้ลดน้อยลง

3.ความแตกต่างกันระหว่างการดำเนินนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง เพราะภาครัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสจะคงดอกเบี้ยสูงในปีนี้

และ 4.มาตรการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่