ระวังแรงเทขายทองคำ เมื่อสหรัฐและจีนหันหน้าสู่การเจรจา

คอลัมน์ สถานีลงทุน

โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

ราคาทองคำช่วงที่ผ่านมา “ผันผวน” ตามนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ตอบโต้ไปมา จนกลัวว่าจะเกิดสงครามการค้า

ขณะที่ในบางช่วงมีข่าวว่าจะมีการเดินหน้าสู่การเจรจา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด “ลดน้อยลง” เริ่มจากสหรัฐได้ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอะลูมิเนียม 10% รวมทั้งได้ออกมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม โดยมุ่งเป้าไปที่สินค้าไอทีและสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ทางการจีนโต้ตอบสหรัฐทันควัน โดยที่รัฐบาลจีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 128 รายการ ซึ่งการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของทั้งสองประเทศนั้นค่อนข้างมีความแตกต่างกัน โดยจีนจะเน้นไปที่สินค้าสหรัฐที่มีชื่อเสียง หรือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ เช่น ถั่วเหลือง เนื้อวัวแช่แข็ง ฝ้าย และสินค้าเกษตรที่ผลิตในรัฐต่าง ๆ ตั้งแต่รัฐไอโอวาไปจนถึงรัฐเท็กซัส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2559 ในขณะที่สินค้าจีนที่ตกเป็นเป้าของสหรัฐจะอยู่ในกลุ่มที่อยู่ในรายชื่อโครงการ “Made in China 2025” ที่รัฐบาลจีนได้ริเริ่มส่งเสริมเพื่อให้เป็นสินค้าท้องถิ่นที่จะมาทดแทนสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงที่จีนนำเข้าจากต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น สินค้าไอทีชั้นสูงและหุ่นยนต์

แต่ถึงแม้ความวิตกกังวลดังกล่าวที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ดีมองว่าทั้งจีนและสหรัฐอาจไม่ต้องการที่จะทำให้สงครามการค้าเกิดขึ้น การโต้ตอบไปมาดังกล่าวเป็นเพียงกลยุทธ์ที่ต้องการให้ทั้งสองประเทศหันหน้าสู่โต๊ะการเจรจา และการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้านั้นก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งทั้งสองประเทศยังคงมีเวลาอย่างน้อย 2 เดือนในการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้านั้น

Advertisment

อย่างไรก็ตาม สหรัฐประกาศพร้อมจะจัดการเจรจากับจีน จึงส่งผลให้เกิดแรงเทขายทองคำออกมาบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเจรจาดังกล่าวก็ยังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่ทางด้านประธานาธิบดีจีนได้มีการส่งสัญญาณการเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น รวมถึงการปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ส่งผลให้นักลงทุนคลายความวิตกลงไปบ้างว่าสถานการณ์ความตึงเครียดดังกล่าวจะคลี่คลาย ทั้งนี้หากสหรัฐและจีนสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงได้นั้นส่งผลให้เกิดแรงเทขายทองคำออกมา

สำหรับความตึงเครียดระหว่างประเทศจากเหตุการณ์การใช้อาวุธเคมีในซีเรียจากสถานการณ์ในซีเรียที่กลับมาตึงเครียดในเดือน เม.ย. ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งทะยานขึ้นแรงไปใกล้จุดสูงสุดเดิมของราคาทองคำในปีนี้ที่ระดับ 1,365 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ขู่จะยิงขีปนาวุธถล่มซีเรียเพื่อตอบโต้จากการที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน เพื่อเป็นการกดดันรัสเซียเนื่องจากมองว่ารัสเซียและอิหร่านเป็นผู้สนับสนุนซีเรียในการใช้อาวุธเคมีก่อความรุนแรงในครั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ปีที่แล้วประธานาธิบดีทรัมป์ได้มีการสั่งยิงโทมาฮอว์กจำนวน 59 ลูกไปที่ซีเรีย และตามมาด้วยสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งในวันที่ 15 เม.ย.เนื่องในโอกาสฉลองวันครบรอบคล้ายวันเกิด 105 ปีของนายคิม อิล-ซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ทางผู้นำเกาหลีเหนือประกาศยืนกรานจะทดสอบขีปนาวุธต่อไป โดยจะมีการทดสอบขีปนาวุธเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายปี ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นราว 40 ดอลลาร์ในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์

ดังนั้นสถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียดระหว่างประเทศอาจจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำได้ในช่วงนี้ ซึ่งยังคงต้องติดตามว่าการกระทำครั้งนี้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหรือไม่ อาจจะทำให้ความขัดแย้งที่มากขึ้นระหว่างสหรัฐและรัสเซีย และอย่าลืมว่าสหรัฐยังคงมีประเด็นการเมืองในคดีรัสเซียเข้ามาแทรกแซงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2559 อยู่ อีกทั้งเป็นจังหวะและโอกาสของการก่อร้ายของกลุ่ม IS ที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นการฉวยโอกาสท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ทั้งนี้คาดว่าในช่วง 1 เดือนข้างหน้าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,310-1,366 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งแนะนำให้หาจังหวะรอซื้อทองคำเมื่อราคาทองคำspot ปรับลดลงแตะแนวรับ 1,310 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์