เปิดใจ ดร.นิเวศน์ ปรับพอร์ตครั้งใหญ่ ตั้งบริษัทลงทุนหุ้นนอก

กำไรที่ซ่อนไว้ 9 ปี ทบไปทบมา เราก็ต้องเอากลับ เราก็ต้องเคลียร์ของเรา แต่เรารู้ว่าถ้ากลับมาแล้วไม่ไป ต้องอยู่แต่ประเทศไทย มันไม่ได้ เพราะว่าถ้าผลตอบแทนระดับนี้ “ความมั่งคั่ง” คุณจะลดลงหรือแย่ลง

ตลาดหุ้นไทย อนาคตมันไปไม่ไกล ลตอบแทนที่ผ่านมาก็แย่อยู่แล้ว อนาคตก็ยังไม่เห็นว่าจะดียังไง เพราะฉะนั้นก็ต้องยอมรับว่า ต่างประเทศคุณเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคุณอยากจะเติบโตจากการลงทุน

Prachachat Wealth สัปดาห์นี้ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ที่มีพอร์ตการลงทุนหมื่นล้าน เปิดใจถึงการตัดสินใจปรับพอร์ตครั้งแรกในชีวิต หลังจากสิ้นหวังผลตอบแทนหุ้นไทย ขณะที่การลงทุนต่างประเทศก็เจอภาษีสูงสุด 35%

จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ ดร.นิเวศน์ ตัดสินใจจัดตั้งบริษัท ตีแตก จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 2,200 ล้าน เพื่อใช้ในการลงทุนหุ้นต่างประเทศทั่วโลก ความน่าสนใจจะเป็นยังไงบ้าง วันนี้ประชาชาติรวบรวมมาให้ได้รับชม

ปรับพอร์ต ดึงกำไร 9 ปี กลับประเทศ

บังเอิญปีที่แล้ว เราก็มีกาประกาศจะเก็บภาษี นี่ก็เปลี่ยนเกมเลยนะ ถ้าคุณไปลงทุนเวียดนามส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ส่วนตัวทั้งนั้น ก็จะเริ่มเสียภาษี ซึ่งภาษีที่คิดเป็นภาษีส่วนบุคคล ถ้าคุณเงินเยอะ 35% เลยนะ จ่าย 35% กำไรเท่าไหร่ ตัดไป 35% ก็ตายสิ ! ใช่ม่ะ

ปลายปีที่แล้วพวกที่มีเงินที่เวียดนามเยอะ ถึงไม่เยอะก็ตาม ก็รีบปรับโครงสร้าง ปรับตัวเอง ไม่ใช่เฉพาะที่เวียดนาม ที่อเมริกา หรือที่ไหน ๆ ที่เราไป ปรับกันหมด

ADVERTISMENT

บางคนก็เอาเงินกลับมาก่อน เดี่ยวค่อยไปใหม่ เขาเปิดโอกาสให้เอากลับมาได้สั้น ๆ แต่บางคนก็ไม่กลับ บางคนก็บอกว่าไม่เป็นไร ก็อยู่ต่อไป เพราะว่า ภาษีจะเสียต่อเมื่อคุณเอาเงินกลับเมืองไทย ถ้าไม่เอาเงินกลับเมืองไทยก็ไม่เสีย

ขาก็คิดว่าเขายังหนุ่มแน่น และเขากะว่าอันนี้เพื่อการเกษียณ หรือเพื่ออนาคตระยะไกล ไม่ใช่ซื้อ ๆ ขาย ๆ เพราะฉะนั้นเขาไม่เอาเงินกลับ เพราะสำหรับเขาแล้วประเทศไทย ตลาดหุ้นไทย อนาคตมันไปไม่ไกล ผลตอบแทนที่ผ่านมาก็แย่อยู่แล้ว อนาคตก็ยังไม่เห็นว่าจะดี เขาก็กะว่าจะอยู่เวียดนามไปเรื่อย ๆ

ADVERTISMENT

ทีนี้ส่วนตัวผม เราก็เข้ามานาน กำไรเยอะ กำไรที่ซ่อนไว้ 9 ปี ทบไปทบมา เราก็ต้องเอากลับ เราก็ต้องเคลียร์ของเรา แต่เรารู้ว่าถ้ากลับมาแล้วไม่ไป ต้องอยู่แต่ประเทศไทย มันไม่ได้ เพราะว่าถ้าผลตอบแทนระดับนี้ “ความมั่งคั่ง” คุณจะลดลงหรือแย่ลง

ประเทศไทยอาจจะไม่ใช่จุดที่เราจะสามารถจะสร้าง SCurve ใหม่ เพราะเดิมทีเขาพูดถึง SCurve เราต้องลงทุนในช่วงที่กำลังขาขึ้น แต่ตอนนี้ “ตลาดหุ้น” ในประเทศไทย มันเริ่มโค้งแล้ว เริ่มแบบเติบโตน้อยมาก หรือนิ่งแล้ว ถ้าต่อไปมันอาจจะลงด้วยซ้ำไป มันมีโอกาสเป็นอย่างงั้นด้วย

ต่างประเทศเขาไปก่อนเราแล้ว เขาออกไปนาน 10 ปีแล้วที่เขาออกไป ตอนนี้ออกไปเฉลี่ยปีละแสนล้าน ก็ออกไป 1 ล้านล้าน เรียบร้อยแล้ว ใน 10 ปี เราไม่ตระหนักเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องยอมรับว่า ต่างประเทศคุณเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคุณอยากจะเติบโตจากการลงทุน

ตั้งบริษัทตีแตกลงทุนนอก ยอมจ่ายภาษี 20%

สำหรับส่วนตัวผมตอนนี้ก็ปรับจากเป็นส่วนตัว ก็ปรับเป็น “บริษัท” ไปเลย บริษัท ตีแตก จำกัด พึ่งจดทะเบียไปได้ 2 เดือน มันเป็นบริษัทการลงทุน รู้จักเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ใช่ไหม นี่โครงสร้างเดียวกัน

ยอมเสียภาษีเลย แต่เป็นระดับภาษีที่พอรับได้คือ 20% จาก 35% เหลือ 20% ซึ่งเราก็บอกว่าโอเคมันก็หนีไม่พ้นแล้วล่ะ ถึงวันหนึ่ง ภาษีทุกอย่างก็จะต้องขึ้น

หลายอย่างตอนนี้ยังไม่เสียภาษี อีกหน่อยก็ต้องเสีย เช่น ยกตัวอย่างว่าตอนนี้ถึงแม้จะเปลี่ยนการคิดภาษีแล้ว แต่ถ้าคุณไม่เอาเงินกลับเข้าประเทศก็ไม่เสีย แต่อนาคตก็ไม่แน่ เขาก็พูด ๆ อยู่แล้ว ถึงไม่เอาเงินกลับ ถ้ามีกำไรก็เสีย

เหตุผลก็เพราะว่า 1.รัฐบาลต้องการเงิน 2.เขาจะเริ่มมีระบบที่รู้ว่าคุณไปกำไรที่ไหน เขาตามจับได้ ถึงวันนั้นเขาก็จะบอกว่าคุณจะกลับไม่กลับ เราเก็บภาษีคุณ อันนั้นก็ทำให้เราคิดว่า ส่วนตัวผมแล้วไม่ไหวหรอก ถ้าต้องมาคอยระวังระแวง เดียววันไหนจะเริ่มถูกเก็บ ยังไงก็หนีไม่ได้ เราก็ยอมซะเลย 20% แต่ว่าเราก็อาจจะไม่ต้องเสียเต็มอัตรา ถ้าเราไม่ทำกำไร เราเก็บเอาไว้เฉย ๆ มันก็ยังไม่เสีย

แล้วก็บริษัทนี้ก็ลงทุนต่างประเทศทั่วโลก แต่นาทีนี้เราก็เน้นที่เวียดนามเป็นหลัก และซื้อหุ้นไปแล้ว ตอนนี้ก็มีหุ้นอยู่ หุ้นแบบที่เราคิดว่าเราต้องการปรับให้มันเหมือนกับที่เราต้องการ

ก็คือว่า เดิมทีหุ้นเวียดนาม ผมจะเป็นลักษณะเยอะแยะมีเป็น 100 ตัว เพราะตอนนั้นที่เราเข้าไป เราไม่ค่อยรู้จัก หลัง ๆ ผ่านมาหลายปีเราเริ่มรู้ว่าหุ้น super stock มันควรจะเป็นตัวไหน ก็จะซื้อเฉพาะหุ้นพวกนี้ เราก็จะเน้นหุ้นพวกนี้ และจะปล่อยระยะยาว แบบเดียวกับที่ทำในประเทศไทย ผมถึงบอกว่าผมไม่ได้เปลี่ยน ผมเปลี่ยนตัวหุ้น ผมเปลี่ยนสถานที่ แต่คอนเซ็ปต์เหมือนเดิและเปลี่ยนสถานที่ ตอนนี้เวียดนามเป็น “เป้าแรก” ต่อไปถ้าที่อื่นดี ผมก็ลงทุนได้

โยกเงินซื้อ “DR-กองทุน” หนีหุ้นไทย

ตอนนี้ในเวียดนามก็เกือบ ๆ 30% พอร์ตทั้งหมด ปัจจุบันของไทยยัง 60% กว่า เวียดนามก็ใกล้ ๆ 30% ในประเทศไทยใกล้ ๆ 70% และก็มี Cash (เงินสด) อีกประมาณ 5-6% แต่ว่าที่เวียดนามจะลงทุนแบบในนามบริษัท เพราะว่าลงทุนในนามบริษัทเสียภาษี 20% ถ้าส่วนตัวเสีย 35% แต่ประเทศไทยยังไม่เข้าบริษัท เพราะว่าประเทศไทยส่วนบุคคลยังไม่ต้องเสียภาษี ก็ให้เป็นส่วนบุคคลไปก่อน

แต่ว่าอนาคตที่อยากจะปรับเพิ่มก็คือ 70% มันเยอะไป เพราะเรารู้สึกว่าถ้า 70% แล้วมันได้ผลตอบแทนนิดเดียว เราลงตัวเล็ก ๆ ที่เวียดนาม แค่จากต้นปีมาถึงวันนี้ ด้มากว่า 10% แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยัง 0% อยู่เลย ไม่ติดลบก็ดีแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พอร์ตมันก็ไม่ไปไหน

อนาคตต่อจากวันนี้ก็ยังเพิ่มบอกว่า 70% ก็จะเริ่มดึงบางส่วนออกมาลงทุนต่างประเทแต่ลงทุนต่างประเทศส่วนนี้ จะเข้าบริษัทก็ไม่ได้ เพราะเสียภาษี 20% มันก็มทางเลือกอีกทางหนึ่งคือ ไปลงทุน “กองทุนรวม” ที่เอาเงินเราไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ เป็น Foreign Fund ซึ่งเราจะไม่เสียภาษี แต่ข้อด้อยก็คือว่า เราเลือกหุ้นไม่ได้ เพราะว่าถ้าเลือกหุ้นต้องไปลงทุนในประเทศเขา มันก็กลายเป็นต่างประเทศ

ถ้าเราลงทุนในประเทศ ที่เอาเงินเราไปลงทุนต่อในต่างประเทศ เราจะไม่เสียภาษี แต่ว่ากองทุนพวกนี้มันมีจำกัด แล้วแต่ว่าโบรกเกอร์ไทยจะเปิดแบบไหน

และมันก็จะมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าเป็น DR ก็คือเหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง เป็นตัวแทนของหุ้นในต่างประเทศอีกทีหนึ่ง แต่ถ้าเราซื้อขาย DR มันก็เหมือนซื้อขายหุ้นไทย ไม่เสียภาษี แต่ที่จริง DR ตัวนี้ มันจะดีหรือไม่ดี มันขึ้น อยู่กับหุ้นแม่ที่อยู่ต่างประเทศ เช่น DR ของ Alibaba DR Alibaba ของไทยจเป็นเงินบาท เวลาจะขึ้น-ลง จะเป็น DR ที่ซื้อขายกันที่นิวยอร์กหรือฮ่องกง

เพราะฉะนั้นกลุ่มนี้ผมก็จะแบ่งเงินหุ้นไทยออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะไปลงทุนหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยจะลงทุนผ่านกองทุนก็ดี DR ก็ดี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มนะ กำลังศึกษา

1-2 ปี บททดสอบโมเดลใหม่

คิดว่าปีสองปี ที่จะเห็นหน้าเห็นหลังหน่อยว่า โอเคอยู่ตัว ผมคิดว่าให้มันกลายเป็นว่าต่างประเทศ 50% ไทย 50% หรืออาจจะถึงจุดหนึ่งอาจจะบอกว่า ไทยแค่ 25% ที่เหลือ 75% ต่างประเทศหมด เพราะเราต้องเข้าใจว่าคือหุ้นของประเทศไทย หรือเศรษฐกิจของไทย ต้องยอมรับว่า มันต้องช้าลงแน่นอน มันผ่านจุด SCurve ที่มันเป็นขาขึ้นไปแล้ว มันช่วงที่จุดอิ่มตัว ยังไงก็ไม่มีทางได้ดีมาก

ตอนนี้ก็เหนื่อยหน่อยเพราะว่ามันเปลี่ยนใหม่ เราเคยเป็นสบาย ๆ ตอนนี้ต้องมานั่งดูว่าบัญชีเป็นยังไง ตองจ่ายภาษีอะไร มันเป็นอะไรที่ใหม่ ซึ่งก็ปวดหัวแล้วเราก็ไม่รู้ว่าตกลงสุดท้ายเราจะเสียภาษีกี่ล้าน ถ้ามันเสียเยอะเราก็ต้องบอกว่าอาจจะต้องชะลอรึเปล่า ไม่คุ้มหรือเปล่า มันต้องผ่านไปสักระยะหนึ่งให้รู้ว่าตกลงทำแบบนี้มันคุ้มไม่คุ้ม