QTCG เคาะราคาไอพีโอ 1.20 บาทต่อหุ้น เปิดจอง 27-29 มี.ค.นี้

QTCG เคาะราคาไอพีโอ 1.20 บาทต่อหุ้น เปิดจอง 27-29 มี.ค.นี้ ดีเดย์เข้าเทรด mai วันที่ 4 เม.ย.นี้ ชูจุดเด่นหุ้นสายงานระบบวิศวกรรมภายในอาคารแบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ จ่อนำเงินใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

วันที่ 26 มีนาคม 2567 ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriter) ของ บมจ.คิวทีซีจี เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ QTCG จำนวน 180 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.20 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) เท่ากับ 32.69 เท่า เทียบกับอุตสาหกรรมที่มี (P/E Ratio) ที่ 33.16-39.77 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม

โดยกำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 27-29 มีนาคม 2567 โดยเม็ดเงินที่ QTCG จะได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 200.40 ล้านบาท จะเพิ่มศักยภาพ ความแข็งแกร่งฐานะทางการเงินให้กับบริษัท สู่การต่อยอดการลงทุนสำหรับโครงการใหม่ ๆ ในอนาคต ทำให้เชื่อว่าความสำเร็จภายใต้การระดมทุนของ QTCG จะเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้เชื่อว่าการเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก QTCG เป็นหนึ่งฟันเฟืองที่ต่อยอดความสำเร็จในการสร้างรากฐานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในการวางระบบวิศวกรรมภายในอาคาร ดังนั้นจึงมั่นใจว่า QTCG จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

นายธิติวัฒน์ เงินนำโชคธนรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ QTCG เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ในวันที่ 4 เมษายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายภายใต้ “QTCG” สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 200.40 ล้านบาท ของมูลค่าหุ้นที่เสนอขาย

จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัท ภายในปี 2567-2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายโอกาสต่อยอดธุรกิจให้มีความมั่นคง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว สู่การก้าวเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการด้านรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร (Mechanical & Electrical : M&E) อย่างครบวงจรของประเทศไทย

“QTCG ดำเนินธุรกิจด้านงานรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคารอย่างครบวงจร ประกอบด้วย 1) การให้บริการงานรับเหมาติดตั้งงานระบบและการสื่อสาร 2) การให้บริการงานรับเหมาติดตั้งงานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ 3) การให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบสุขาภิบาลและระบบประปา และ 4) การให้บริการงานรับเหมาติดตั้งงานระบบป้องกันอัคคีภัยภายในอาคาร ด้วยประสบการณ์ ที่สั่งสมยาวนานกว่า 23 ปี ทำให้บริษัทมีทีมวิศวกรที่มากด้วยประสบการณ์และมีศักยภาพให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมภายในอาคารให้กับโครงการคุณภาพมาแล้วมากกว่า 1,000 โครงการ

โดยมีกลุ่มลูกค้ากระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม, กลุ่มอาคาร, กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงแรม เป็นต้น โดยทุกโครงการที่ QTCG เข้าไปดำเนินการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร จะเป็นโครงการระดับพรีเมี่ยมเกรด อาทิ โครงการ Andaz Resort Pattaya, โครงการอาคารหอประชุมกองทัพบก, โรงแรมคาเพลลา, อาคารจี แลนด์ พระราม 9, คอนโดมิเนียม Khun By Yoo, อาคารพักอาศัยของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, โครงการงานปรับปรุงพื้นที่ตึกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศิริราช, โครงการอาคารโรงงาน ITC- 3.2 (สมุทรสาคร) เป็นต้น”

นอกจากโครงการที่สร้างชื่อเสียงในข้างต้นแล้ว บริษัทเชื่อว่าการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนให้ฐานะทางการเงินของ QTCG มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สู่การขับเคลื่อนสำหรับการรองรับการเข้าประมูลโครงการใหญ่ในอนาคต เพื่อต่อยอดและขยายฐานงานเดิมที่มีอยู่ โดย ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2566 บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้รับรู้รายได้ประมาณ 1,158 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เป็นงานขนาดใหญ่ในกลุ่มลูกค้าที่มีชื่อเสียงต่อเนื่องจากโครงการเดิม อาทิ โครงการ CIB International School, โครงการคอนโด ชูช์ ราชเทวี (SHUSH), โครงการก่อสร้างอาคารกระทรวงมหาดไทย, โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยาย ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซน C, โครงการวัน อมตะ, โครงการก่อสร้างอาคารใหม่ตลาดยิ่งเจริญ, โครงการ KIS International School เป็นต้น

พร้อมทั้งนี้ ยังประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างในปี 2567 ว่า จะมีการขยายตัวที่ดีขึ้น เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2567 ส่งผลให้โครงการก่อสร้างต่าง ๆ ต้องเร่งเดินหน้าลงทุน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัวเร่งผลักดันให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง QTCG จะได้รับอานิสงค์จากแผนกระตุ้นการก่อสร้างจากปีงบประมาณดังกล่าวด้วย โดยจะทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ด้านนายกิตติชัย นาคะประเสริฐกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriter) กล่าวว่า ด้วยศักยภาพความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคารแบบครบวงจร ระดับชั้นนำของประเทศ และด้วยประสบการณ์ของทีมผู้บริหารที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 23 ปี

ทำให้ QTCG มีฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม และได้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งงานระบบให้กับโครงการชั้นนำ ทั้งภาครัฐและเอกชน มาแล้วมากกว่า 1,000 โครงการ สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการทำงานอย่างมีระบบ ซึ่งจากทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์มืออาชีพ ทำให้บริษัทสามารถรับงานในโครงการที่มีขนาดใหญ่ ระดับ 500-600 ล้านบาทต่อโครงการได้ จนทำให้บริษัทมีการเติบโตด้านรายได้จาก Backlog ในมือกว่า 1,158 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีอัตราความสามารถในการทำกำไรสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณร้อยละ 14 ในขณะที่คู่แข่งในอุตสาหกรรมมีค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ร้อยละ 4-9 รวมถึงยังมีทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ (Hidden Asset) ในบริษัท ซึ่งยังไม่ได้สะท้อนในงบการเงิน ได้แก่ ทรัพย์สินรอการขาย ซึ่งมีราคาทุน 63.70 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินอยู่ที่ 115.88 ล้านบาท และใบอนุญาตประกอบกิจการบริหารสินทรัพย์ซึ่งยังไม่ได้ถูกประเมินมูลค่า

“สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564-2566 มีรายได้จากงานก่อสร้างและงานบริการ 625.48 ล้านบาท 905.50 ล้านบาท และจำนวน 751.72 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 23.43 ล้านบาท 101.76 ล้านบาท 22.03 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทมีเครดิตที่ดีกับสถาบันการเงิน ทำให้มีโอกาสในการได้รับการเสนอสินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมั่นคงของบริษัท ดังนั้นจึงมองว่าหุ้น QTCG เป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท และผู้ถือหุ้นในอนาคต”