คลังจ่อปรับเกณฑ์ “บ้านล้านหลัง” เพิ่มเพดานเงินกู้เป็น 2 ล้าน พร้อมปรับวงเงินบ้านร่วมมาตรการลดค่าโอนจำนอง ชี้ท้องถิ่นเข้มภาษีที่ดิน หวั่นแจ้งมั่วใช้เพื่อเกษตรกรรม
วันที่ 28 มีนาคม 2567 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐหรือโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท ที่ให้วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท มองว่ายังน้อยไป ควรที่ปรับขึ้นวงเงินกู้ต่อรายเป็น 2 ล้านบาท เนื่องจากบ้านราคา 1.5 ล้านในปัจจุบันคงหายาก
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“โครงการบ้านล้านหลัง ตอนนี้วงเงินอยู่ที่ 1.5 ล้าน มองว่ายังน้อยไป อยากให้เพิ่มขึ้นวงเงินเป็น 2 ล้านบาท เพราะว่าเป็นวงเงินสินเชื่อเท่านั้นเอง ซึ่งบ้านราคา 1.5 ล้าน ตอนนี้คงหายาก ก็คงต้องดูตามสภาพ” นายกฤษฎากล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยังช่วยลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เป็นของตนเอง รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนจาก 2% เหลือ 1% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอันสืบเนื่องมาจากการจดทะเบียนในคราวเดียวกันจาก 1% เหลือ 0.01%
สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างประเภทดังกล่าว และห้องชุด ที่มีการจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งวงเงิน 3 ล้านบาทนี้ น่าจะครอบคลุมกว่า 70% ของบัญชีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
นายกฤษฎากล่าวว่า สำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยังคงมีปัญหาอยู่ ทั้งที่สาธารณะ ที่การกุศล รวมถึงเรื่องของหน่วยงานไหนเป็นยังไง มองว่ามีข้อเท็จจริงอยู่ค่อนข้างเยอะ ทั้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดูอยู่ว่าจะจัดเป็นหมวดหมู่ ปรับปรุงอะไรตรงไหนยังไงบ้าง โดยกฎหมายท้องถิ่น จะต้องเป็นคนดู หากสมมุติว่าไม่ได้ทําจริงมาปลูกไว้เพื่อหลอก ก็จะสามารถวินิจฉัยได้ว่าไม่ใช่การทำเกษตรกรรม
“ท้องถิ่นมีกฎหมายมีอํานาจ เพราะฉะนั้นสามารถใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นไปตามกฎของเรา สมมุติว่า 75% ปลูกแล้วมันคือไม่ใช่เกษตรกรรม แต่ถ้าทําเกษตรกรรมจริง ๆ อันนี้ได้ แต่ถ้าทําเพื่อลักษณะดูหลีกเลี่ยง ท้องถิ่นสามารถใช้ดุลพินิจได้ว่ามันไม่ใช่เกษตรกรรม” นายกฤษฎากล่าว