โบรกฯ ประเมินสงครามในตะวันออกกลางกระทบหุ้นไทยระยะสั้น กรณีไม่รุนแรงแนวรับ 1,355 จุด กลุ่มพลังงาน-โรงกลั่นรับปัจจัยบวก ขณะที่กลุ่มที่รับผลกระทบ ได้แก่ โรงไฟฟ้า-ไฟแนนซ์
วันที่ 18 เมษายน 2567 นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน มองว่าปัจจุบันผลกระทบต่อตลาดหุ้นยังไม่เยอะมาก เนื่องจากประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เชื่อมกับอิสราเอลและอิหร่านของสัดส่วนการส่งออกและนำเข้าไม่ได้เยอะ แต่ผลกระทบทางอ้อม เกิดขึ้นจากการที่ทำให้ราคาพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมได้
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- เริ่มจ่ายพรุ่งนี้ 1 พ.ค. ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ-เงินบำนาญขั้นต่ำ 11,000 บาท
ขณะที่การลงทุนจะกระทบในแง่ของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยโดยวานนี้ SET Index ร่วง 29 จุด (-2.11%) ปิดที่ระดับ 1,367 จุด อย่างไรก็ตาม จากสถิติที่ผ่านมา แม้สถานการณ์จะเกิดความรุนแรงในระยะยาว แต่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นมักจะเป็นช่วงระยะสั้น
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันและพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนของภาคการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวขึ้น จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มไฟแนนซ์ได้
ขณะที่กลุ่มที่จะเคลื่อนไหวได้ดีมักเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ขึ้นอย่าง PTTEP, SPRC รวมถึงกลุ่มการแพทย์, โรงพยาบาลที่คาดว่าจะสามารถเข้ามาพักเงินได้
ด้านนายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีสถานะนำเข้าน้ำมัน ซึ่งจะได้รับผลกระทบทั้งด้านต้นทุนการบริหารที่ปรับตัวขึ้น
ในระยะสั้นอาจจะกดดันดัชนีได้
โดยกรณีที่ไม่รุนแรง มองแนวรับ 1,355 จุด กรณีที่รุนแรง แนวรับ 1,310-1,330 จุด อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความไม่แน่นอนนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นถึงระยะกลางมากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่า PTTEP ได้ประโยชน์มากที่สุด ในขณะที่โรงกลั่นก็ได้รับผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้นเช่นกัน