ดร.นิเวศน์ ฉายภาพ 5 ทศวรรษตลาดหุ้นไทย และทำไม 9 ปีแล้วหุ้นไทยไม่ไปไหน ?

นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)

ดร.นิเวศน์ ต้นแบบนักลงทุนวีไอเผยปี 2568 ตลาดหุ้นไทยครบรอบ 50 ปี กาง 5 ยุคตลาดหุ้นไทยจาก ทศวรรษทอง สู่ ทศวรรษแห่งวิกฤตเศรษฐกิจและตลาดหุ้น และตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นทศวรรษที่หายไป หลังเผชิญปัญหาโครงสร้าง คนแก่เยอะ เด็กเกิดน้อย มีรัฐประหาร ทำเศรษฐกิจโตช้า

วันที่ 29 เมษายน 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่สายเน้นคุณค่า (Value Investor) สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า เดือนเมษายนปีหน้า (ปี 2568) จะเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยมีอายุครบ 50 ปี หรือเป็นเวลา 5 ทศวรรษของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ผมก็อยากจะตรวจสอบหรือทบทวนว่าในแต่ละทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีวิวัฒนาการและผลงานเด่น ๆ อย่างไรบ้าง พอจะกำหนดเป็นภาพใหญ่ ๆ ได้ไหมว่าแต่ละยุคควรจะเรียกว่าอย่างไร

ทศวรรษแห่งการเรียนรู้

เริ่มเปิดตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนเมษายน 2518 ซึ่งเป็นเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตจากเศรษฐกิจที่ยังเล็กมากและยังเป็นประเทศที่อิงกับการเกษตรเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ด้วยภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกแบ่งเป็น 2 ขั้ว คือฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาและคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียตรัสเซีย ที่มีการต่อสู้และทำสงครามเย็นแย่งชิงประเทศต่าง ๆ ในโลกมาเป็นฝ่ายของตนเอง ประเทศไทยซึ่งเป็นฝ่ายโลกเสรีก็ได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจและเป็นฐานในการต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ที่กำลังทำสงครามกันในประเทศเวียดนาม

หนึ่งทศวรรษก่อนปี 2518 เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตสูงมาก อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากการช่วยเหลือจากอเมริกาที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้พ้นจากความยากจนที่มักเป็นบ่อเกิดให้คนสนใจในลัทธิสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ การใช้จ่ายทางทหารของสหรัฐในประเทศไทยที่เป็นฐานทัพอากาศที่สำคัญของอเมริกาในการรบกับคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม

เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2508 ถึง 2518 GDP โตเฉลี่ยถึงปีละประมาณ 7.8% และเริ่มมีการพัฒนาประเทศจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการ “ตลาดทุน” มาสนับสนุน และนั่นก็คือการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อการลงทุนอย่างเป็นทางการ

Advertisment

ตลาดหลักทรัพย์ฯเริ่มเปิดการซื้อขายหุ้นด้วยดัชนีที่ถูกกำหนดไว้ที่ 100 จุด ในวันสิ้นเดือนเมษายน 2518 ซึ่งบังเอิญตรงกับวันที่ไซ่ง่อน เมืองหลวงของประเทศเวียดนามใต้หรือเมืองโฮจิมินซิตี้ในปัจจุบัน “แตก” เวียดนามทั้งหมดกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ อเมริกาถอนกำลังทหารทั้งหมดกลับประเทศ ประเทศไทยได้รับการคาดหมายว่าจะต้องกลายเป็นคอมมิวนิสต์รายต่อไปตามทฤษฎี “โดมิโน” เพราะทั้งลาวและกัมพูชาต่างก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปทั้งหมดแล้ว

แต่โชคชะตาก็เข้าข้างประเทศไทย เพราะหลังจากเวียดนามแตก โซเวียตก็แตกกับจีน ทำให้ไทยรอดจากการยึดครองของฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งก็ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าเติบโตต่อไปอีก 10 ปี จนถึงปี 2528 ที่อัตราเฉลี่ยปีละ 6.8% ลดลงมาเพียง 1% จากทศวรรษก่อน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มต้นอย่าง “ทุลักทุเล” ดัชนีหุ้นขึ้นลงตามการ “เก็งกำไร” และการ “ปั่นหุ้น” ของนักเล่นหุ้น “ชุดแรก” ที่มองตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งเก็งกำไรหรือการพนันที่ “ถูกกฎหมาย” ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่มีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการกำกับและควบคุม ซึ่งทำให้แม้แต่การปั่นหุ้นก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย และนั่นนำมาสู่ “วิกฤตตลาดหุ้น” กรณี “ราชาเงินทุน” ในปี 2522 ซึ่งทำให้ดัชนีตกลงไปกว่า 40% ในเวลา 1 ปี และทำให้หุ้น “เหงา” ไปนานมากและคนแทบจะเลิกเล่นหุ้นไปเลย

จนถึงเดือนเมษายน ปี 2528 ครบรอบทศวรรษแรกของตลาดหุ้น ดัชนีตลาดอยู่ที่ 151 จุด หรือปรับขึ้น 51% ในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 4.21% ซึ่งดูเหมือนจะเลวร้ายมากเมื่อคำนึงถึงว่าการฝากเงินกับสถาบันการเงินได้ดอกเบี้ยปีละเกือบ 10% อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ผลตอบแทนจากปันผลหรือ Dividend Yield ของบริษัทจดทะเบียนสูงมากถึงปีละประมาณ 9.28% ดังนั้น คนที่ลงทุนถือหุ้นระยะยาว 10 ปี ก็จะได้ผลตอบแทนรวมทบต้นถึงปีละ 13.5% ไม่เลวเลย

Advertisment

สำหรับผมแล้ว ทศวรรษแรกของตลาดหุ้นคือ “ทศวรรษแห่งการเรียนรู้”

ทศวรรษทอง “ตลาดหุ้นไทย”

ทศวรรษที่สองของตลาดหลักทรัพย์ฯจากปี 2528 ถึงปี 2538 นั้น เริ่มต้นโดยที่ “ไม่มีความคาดหวัง” ดัชนีตลาดอยู่ในระดับต่ำ ค่า PE อยู่ที่ 8.55 เท่า ปันผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 8% แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะเล่นหุ้น ผมเพิ่งกลับเมืองไทยจากการเรียนจบปริญญาเอกทางการเงินและการลงทุนที่สหรัฐ และตลาดหลักทรัพย์เพิ่งจะได้ผู้จัดการคนใหม่ชื่อ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ อดีตอาจารย์นิด้าสถาบันที่ผมเรียนจบปริญญาโท

ในเวลานั้นประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงของการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ นำโดยการค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและการจัดตั้งโครงการ Eastern Seaboard ที่เน้นการพัฒนาเมืองชายทะเลภาคตะวันออกให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมโดยเฉพาะปิโตรเคมีและการส่งออกโดยผ่านท่าเรือน้ำลึกที่แหลมฉบัง และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อหนีค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นจากข้อตกลง Plaza Accord ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ปีละ 8.93% โดยเฉลี่ยในเวลา 10 ปี

ตลาดหุ้นเฟื่องฟูมากในทศวรรษนี้ อานิสงส์สำคัญส่วนหนึ่งจากการเปิดเสรีทางการเงินที่ทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้เต็มที่ ดัชนีหุ้นในเดือนเมษายนปี 2538 ขึ้นสูงถึง 1,209 จุด เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า หรือเท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละ 23.12 ในเวลา 10 ปี ไม่รวมปันผลอีกเกือบ 3% เป็น “ทศวรรษทอง” ของตลาดหุ้นไทย และทำให้นักเล่นหุ้นจำนวนมากที่เข้ามาตลาดหุ้นต่างก็ร่ำรวยจนมีคำพูดว่า “มา (แล้ว) รวย” ตามชื่อผู้จัดการตลาดที่อยู่นานถึง 7 ปีในช่วงที่หุ้นคึกคักมาก

ผลจากทศวรรษทองนั้น ทำให้หุ้นเมื่อเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 มีราคาแพงคือมีค่า PE ที่ 20.87 เท่า และเศรษฐกิจก็ร้อนแรงเกินไปจนเป็นปัญหาเนื่องจากมีการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเกินตัว บวกกับความผิดพลาดในการบริหารการเงินโดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ประเทศก็เกิดวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจแทบจะล้มละลาย ต้องใช้เวลาปรับโครงสร้างหลายปีกว่าที่เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้น

ทศวรรษแห่งวิกฤตเศรษฐกิจและตลาดหุ้น

ทศวรรษที่ 3 จบลงในปี 2548 ด้วยตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่ต่ำลงมากเฉลี่ยที่ปีละ 3.55% อานิสงส์จากช่วงปีวิกฤตที่เศรษฐกิจตกต่ำลงถึง 10% ในเวลา 2 ปี แต่ตลาดหุ้นนั้นยิ่งเลวร้ายกว่า เพราะในเวลา 10 ปี ดัชนีตลาดตกลงมาจาก 1,209 เป็น 659 จุด ลดลงมาถึง 45% หรือตกลงมาเฉลี่ยทบต้นปีละ 5.89% ดังนั้น นี่คือ “ทศวรรษแห่งวิกฤตเศรษฐกิจและตลาดหุ้น”

ทศวรรษแห่งการฟื้นฟู

ทศวรรษที่ 4 เริ่มขึ้นหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจผ่านไปอย่างสมบูรณ์ ธุรกิจ “รุ่นใหม่” เติบโตขึ้นแทนรุ่นเก่าที่ล้มหายตายจากไป เช่นเดียวกับนักลงทุน “รุ่นใหม่” ที่ปรากฏตัวขึ้นแทนนักเล่นหุ้นรุ่นเก่าที่ล้มหายตายจากไปจากวิกฤตตลาดหุ้น และนี่ก็คือ กลุ่มนักลงทุนที่เป็นคนชั้นกลางกินเงินเดือนที่มีการศึกษาดีที่เริ่มหันมาเก็บออมเงินและลงทุนเพื่อการเกษียณและเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนที่ดีมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะถ้ารู้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นธุรกิจที่ดี เติบโตเร็วและยาวนาน แต่มีราคาหุ้นที่ถูกมาก

จุดกำเนิดนักลงทุนวีไอ

พวกเขารวมตัวกันเรียนรู้และศึกษาวิเคราะห์หุ้นก่อนลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานทางธุรกิจ และเรียกตนเองว่า Value Investor หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ไม่มีใครเรียกว่า “เล่นหุ้น” อีกต่อไป

ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้เติบโตเร็ว อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากวิกฤตซับไพรมของอเมริกาในปี 2551 และวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 เศรษฐกิจในช่วงทศวรรษนี้เติบโตเพียงปีละ 3.48% โดยเฉลี่ย ต่ำยิ่งกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นกลับเติบโตดีและปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,527 จุด ในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้น 131.7% คิดเป็นปีละ 8.8% แบบทบต้น ซึ่งถ้ารวมปันผลก็ให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 11.6% ต่อปีในช่วงเวลา 10 ปี

เรียกได้ว่านี่คือทศวรรษแห่งการฟื้นฟูและปรับปรุงตลาดหุ้นให้มีมาตรฐานทั้งในด้านของการพัฒนาและกำกับเพื่อให้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการพัฒนาในด้านของนักลงทุนที่กลายเป็นนักลงทุน “มืออาชีพ” ที่เน้นการวิเคราะห์หุ้นอย่างมีเหตุผล ผมเองอยากจะเรียกว่าเป็นยุค “Renaissance” หรือ “ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรือง” ในด้านต่าง ๆ

ทศวรรษที่หายไป

ทศวรรษสุดท้ายเริ่มตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 9 ปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยประสบปัญหาทางโครงสร้างรุนแรงนั่นก็คือ คนไทยเริ่มแก่ตัวลงกลายเป็นประเทศผู้สูงอายุและคนเกิดน้อยลงมากเกือบจะที่สุดในเอเชีย

นอกจากนั้น ระบบการปกครองก็ “ล้าหลัง” เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่เป็นเพื่อนบ้านและประเทศที่มีระดับความมั่งคั่งใกล้เคียงกันอานิสงส์จากการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในปี 2557 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงมากเหลือเพียงเฉลี่ยปีละประมาณ 1.92% ในช่วง 9 ปี ดัชนีตลาดหุ้นเองที่เริ่มต้นทศวรรษที่มีค่า PE ประมาณ 20.9 เท่า ก็ไม่เอื้ออำนวยซึ่งทำให้หุ้นในระยะเวลา 9 ปี ไม่ได้ไปไหน และลดลงเหลือ 1,359.9 จุด ในวันที่ 26 เมษายน 2567 หรือลดลง 10.9% ในเวลาประมาณ 9 ปี หรือลดลงปีละ 1.28% โดยเฉลี่ย

เรียกได้ว่าทศวรรษที่ 5 ของตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะเป็น “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ถ้าปีหน้าตลาดหุ้นก็ยังคงเป็นแบบเดิมแบบที่เป็นมาแล้ว 9 ปี