ธปท.เผยคุยคลังหาแนวทางอุ้ม SMEs เข้าถึงเงินทุน

SMEs

ธปท.เผยเอสเอ็มอีไม่ถึงครึ่งของ 3.2 ล้านรายเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ชี้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย มีข้อจำกัดเยอะ “ข้อมูลไม่เพียงพอ-ไม่มีหลักประกัน” ย้ำ บสย.เป็นกลไกสำคัญ แต่ยังไม่ครอบคลุม-ขาดความยืดหยุ่น ระบุอยู่ระหว่างหารือคลัง-หน่วยงานเกี่ยวข้องหาแนวทางค้ำประกันช่วยเหลือเอสเอ็มอี    

วันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานเสวนา “กลไกค้ำประกันเครดิต ตัวช่วยของ SMEs ในการเข้าถึงเงินทุน” ว่า การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญของไทย โดยสินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด 19 ถึงปัจจุบัน (ล่าสุด ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัว 5.1%

นอกจากนี้ จากข้อมูลสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธปท. พบว่าจากจำนวน SMEs ในระบบทั้งหมด 3.2 ล้านราย มี SMEs ไม่ถึงครึ่งที่เข้าถึงสินเชื่อเพื่อธุรกิจในระบบสถาบันการเงิน

โดย SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก จากทั้งการมีทุนและความสามารถในการแข่งขันที่จำกัด ทำให้ผลประกอบการผันผวน การมีข้อมูลประวัติทางการเงินไม่เพียงพอและไม่มีหลักประกัน รวมทั้งมูลค่าสินเชื่อมีขนาดเล็ก ไม่คุ้มกับต้นทุนของสถาบันการเงินในการประเมินและติดตามความเสี่ยง ทำให้โดยรวมระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หรือให้สินเชื่อด้วยต้นทุนกู้ยืมที่สูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อชดเชยความเสี่ยง

นายสมชาย เลิศลาภวศิน

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นกลไกสำคัญที่แบ่งเบาความเสี่ยงของ SMEs ทำให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่ออย่างทั่วถึงขึ้น ซึ่งโครงการค้ำประกันสินเชื่อ (Portfolio Guarantee Scheme – PGS) ของ บสย. แต่ละโครงการ รวมถึงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟูในช่วงโควิด 19 มีส่วนช่วยให้สินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวได้แม้ในช่วงวิกฤต อย่างไรก็ดี กลไกค้ำประกันในปัจจุบันยังมีข้อจำกัด

ADVERTISMENT

เช่น 1.ขอบเขตการค้ำประกันที่จำกัด โดยครอบคลุมเฉพาะการค้ำประกันสินเชื่อที่ปล่อยโดยสถาบันการเงิน (ธนาคารพณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองชิเอร์) และบริษัทลูกเท่านั้น และสินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวในช่วงโควิด 19 เป็นผลจากมาตรการสินเชื่อ soft loan / สินเชื่อฟื้นฟู

2.ข้อมูลและเครื่องมือไม่เพียงพอ ทำให้การประเมินความเสี่ยงของ SMEs แต่ละรายทำได้ยากจึงต้องใช้วิธีค้ำประกันแบบกลุ่ม (portfolio guarantee) ที่คิดค่าธรรมเนียมจากลูกหนี้เท่ากันทุกรายในแต่ละโครงการ ทำให้ลูกหนี้บางส่วนอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงกว่าความเสี่ยงของตนเอง

ADVERTISMENT

3.การค้ำประกันขาดความยืดหยุ่นในการช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางยุทธศาสตร์ของประเทศ หรือเป็นกลไกให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจในช่วงวิกฤต เห็นได้จากในช่วงโควิด 19 ที่ต้องออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) แก่ SMEs ในการช่วยเหลือเพิ่มเติม

ทั้งนี้ กลไกค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพ ควรตอบโจทย์ทั้งภาครัฐ ผู้ให้กู้ยืม และ SMEs ภายใต้แรงจูงใจที่เหมาะสมร่วมกัน โดยตัวอย่างกลไกค้ำประกันเครดิตที่ประสบความสำเร็จในประเทศที่ มี SMEs เป็นแกนหลักคล้ายกับไทย เช่น เกาหลีใต้ มาเลเชีย และไต้หวัน มีลักษณะสำคัญดังนี้

1.ไม่จำกัดประเภทผู้ให้กู้ยืม หรือรูปแบบการกู้ยืมอยู่ที่เฉพาะสินเชื่อ ทำให้สามารถสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะกับธุรกิจแต่ละกลุ่มมากขึ้น รวมถึงสนับสนุนธุรกิจตามเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

2.มีข้อมูลและแบบจำลองเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตที่สะท้อนระดับความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ทำให้กำหนดค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมได้ (risk-based pricing)

3.มีความยืดหยุ่น สามารถใช้เป็นกลไก/เครื่องมือเชิงนโยบายทั้งในภาวะปกติและช่วงวิกฤต

4.มีเงินทุน (funding ที่มีเสถียรภาพ มั่นคง ที่มาจากผู้มีส่วนได้เสียในแต่ละภาคส่วน อย่างเกาหลีใต้ เงินสมทบจะมาจากทั้งรัฐบาล สถาบันการเงิน และภาคธุรกิจอื่น ๆ ตามความสมัครใจ ทำให้ทั้งรัฐ สถาบันการเงิน และเอกชนต้องร่วมกันประเมินและปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ

5.ให้การสนับสนุน SMEs มากกว่าเพียงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อาทิ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่มีบริการครบวงจร ทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจและการบริหารจัดการเงินเพื่อช่วยยกระดับศักยภาพของ SMEs

“หัวใจของเอสเอ็มอีไม่ใช่แค่เงิน แต่ต้องมีความเข้าใจตลาด การแข่งขัน และโปรดักต์ เข้ามาเป็นตัวเสริม ซึ่งหวังใจว่าประสบการณ์และแนวทางจากต่างประเทศจะเข้ามายกระดับค้ำประกันของเราให้ดีขึ้น โดย ธปท.อยู่ระหว่างพูดคุยกับกระทรวงการคลังเพื่อออกแบบการค้ำประกันมาใช้โดยเร็วที่สุด”