คลังแปลง “LTF”เป็น Thai ESGX ชง ครม.เคาะลดหย่อนภาษี 5 แสน-ถือต่อ 5 ปี

LTF-Thai ESGX

คลังเคาะแปลงกองทุน “LTF” เป็นกองทุน “Thai ESG X” แก้เกมนักลงทุนแห่ขาย หวังพยุงดัชนี SET ไม่ให้ร่วงหนัก เผยให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 5 แสนบาท/ปี หากแจ้งถือครองต่อ-ไม่ขายอีก 5 ปี ยันไม่ได้เปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนใหม่ ส่วนกองทุน “Thai ESG” เดิมเงื่อนไขไม่เปลี่ยนแปลง

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการเปลี่ยนชื่อและวัตถุประสงค์ของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปเป็นกองทุน Thai ESG X (TESGX) โดยหน่วยลงทุนจะโอนย้ายแบบอัตโนมัติ เพียงแค่ผู้ถือหน่วยลงทุน แจ้งความประสงค์กับทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่บริหารกองทุนอยู่ภายในเวลาที่กำหนด ว่าจะถือหน่วยลงทุนดังกล่าวต่อไปอีก 5 ปี ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้นักลงทุนแห่ขาย LTF จนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย

“ใครที่แจ้งย้ายมากองทุน Thai ESG X ต้องอยู่ต่อ โดยไม่ขายหน่วยลงทุนไปอีก 5 ปี ซึ่งจะสามารถนำวงเงินลงทุนดังกล่าว มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริง คือเท่ากับมูลค่าหน่วยลงทุนที่มีอยู่ แต่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ส่วนใครที่ไม่แจ้งย้ายจะไม่ได้สิทธิลดหย่อนภาษี เพราะถือว่ารอขายอยู่แล้ว ทั้งนี้ ต้องแจ้งกับ บลจ. ภายในเดือน ส.ค. 2568 นี้” แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า กองทุน Thai ESG X จะเปิดขึ้นเพื่อรองรับผู้ถือหน่วย LTF ที่ยังไม่ได้ขายโดยเฉพาะ ไม่ได้เปิดให้มีการลงทุนหรือซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่วนกองทุน Thai ESG เดิมก็ยังคงอยู่ปกติ ซึ่งให้หักลดหย่อนได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี

รายงานข่าวแจ้งว่า นับจากต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (YTD) ณ 27 ก.พ. ดัชนีหุ้นไทยปิดทำการวันที่ 27 ก.พ. ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงมาแล้ว 184.48 จุด ผลตอบแทนติดลบไป -13.18% โดยดัชนีล่าสุด ณ สิ้นวันดังกล่าวอยู่ที่ 1,215.73 จุด ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ดัชนีเคยขึ้นไประดับสูงสุดที่ 1,390.88 จุด เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2568 และหลุดต่ำกว่า 1,200 จุด ในวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา

ขณะที่การซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุนในช่วง 2 เดือน (ม.ค.-27 ก.พ.) พบว่า นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิหุ้นไทย 13,171 ล้านบาท 11,256 ล้านบาท และ 1,685 ล้านบาท (ตามลำดับ) มีเพียงนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ที่ซื้อสุทธิ 26,113 ล้านบาท

ADVERTISMENT

นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเมินจากกรณีมีเม็ดเงินใหม่ ซื้อกองทุน LTF ทุก ๆ 10,000 ล้านบาท จะมีส่วนสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ประมาณ 10 จุด

“เม็ดเงินใหม่ต้องเป็นคนที่ซื้อเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ จะไม่ใช่คนที่ถือ LTF เดิม ที่นำเงินออกมาเพื่อซื้อกองทุนใหม่เพื่อลดหย่อนภาษี แต่ถ้าเป็นเม็ดเงินเดิม ก็คงได้อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยพยุงไม่ให้เม็ดเงินไหลออกไปสู่ตลาดอื่น”

ADVERTISMENT

สำหรับมูลค่ากองทุน LTF อ้างอิงข้อมูลสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) พบว่า ในเดือน ม.ค. 2568 ลดลง 3.14 หมื่นล้านบาท หรือ 14.5% เหลือคงค้างที่ 1.88 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี (เฉลี่ย 10 ปี เดือน ม.ค. AUM ลดลง 8,000 ล้านบาท) จากนักลงทุนกังวลต่อแรงขาย LTF ที่เร่งตัวออกมา และหากยังเห็นแรงขายต่อ มองว่าคงเป็นการ Cut Loss แต่แรงขายน่าจะน้อยกว่าเดือน ม.ค.

นายภูวดลกล่าวอีกว่า ภาพตลาดหุ้นไทยช่วงระยะสั้น ดัชนีค่อนข้างผันผวน นอกจากแรงขาย LTF ยังมีปัจจัยต่างประเทศ ถูกกดดันจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า โดยในวันที่ 4 มี.ค. 2568 ก็จะขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และวางแผนจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10%

“ประกอบกับปัจจัยในประเทศก็ยังคงเจอเรื่องชอร์ตเซล และแรงขายจากหุ้นถูกฟอร์ซเซลและขาชาร์ตลงมา จนกดดันดัชนีหลุด 1,200 จุด แนะนำระมัดระวังลงทุน ไม่เน้นเทรด ให้เฝ้าดูสถานการณ์ไปก่อน รอให้ดัชนีเซตตัวก่อน หากยังลงลึกเป็นสัญญาณอันตราย”

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจตลาดทุนได้เสนอแนวทางไปให้กระทรวงการคลังพิจารณา คือ อย่างน้อยกองทุนใหม่ต้องเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เหมือนเดิม ไม่ใช่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG2) ซึ่งต้องกำหนดให้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติซื้อขายกันอยู่ และมีระยะเวลาถือครอง 5 ปี โดยได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี 5 แสนบาท ไม่รวมกับสิทธิลดหย่อนภาษีส่วนอื่น ๆ

พจน์ หะริณสุต
พจน์ หะริณสุต

“เชื่อว่าหากได้ตามที่ขอไป น่าจะช่วยฟื้นเซนติเมนต์ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็คงไม่ได้ฟื้นมากนัก เพราะ LTF เป็นแค่กิมมิกหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดที่จะทำให้ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญของตลาดหุ้นที่จะฟื้นตัวได้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล เช่น ต้องไม่ทำกาสิโน เลิกแจกเงินหมื่น หันมาสร้างสาธารณูปโภค มุ่งเน้นการลงทุน เพื่อหนุนให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไร เพราะหากกำไร บจ.ขึ้น ดัชนี SET ก็จะขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ไม่มีโครงการลงทุน และ GDP ไทยก็โตต่ำสุดในภูมิภาค”

นายพจน์กล่าวว่า สำหรับทิศทางตลาดกองทุนรวมในไตรมาส 1/2568 ก็คงยังไม่ดี เพราะตามภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี และมองว่าถึงจะมี LTF แต่คนก็คงไม่หันมาซื้อทุกคน เพราะรู้สึกว่าถ้าตลาดหุ้นตก ซื้อไปก็ไม่คุ้มที่ได้สิทธิลดหย่อนภาษี และเดี๋ยวนี้คนก็ไม่ซื้อกองทุน TESG ด้วย