แนวโน้มส่งออกกุ้งไทย ท่ามกลางสงครามการค้า

hrimp export
คอลัมน์ : นอกรอบ
ผู้เขียน : สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS

ในอดีต ประเทศไทยเคยเป็นผู้ส่งออกกุ้งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยในปี 2554 ไทยส่งออกสินค้ากุ้งมากถึง 3.9 แสนตัน ด้วยมูลค่าการส่งออก 3,668 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 19% ของมูลค่าการส่งออกสินค้ากุ้งทั้งหมดของโลก อย่างไรก็ดี ในปี 2556 ไทยเผชิญกับการระบาดของโรคกุ้งตายด่วน ส่งผลให้ผลผลิตกุ้งของไทยลดลงกว่า 50%

ซึ่งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไทยยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาโรคระบาดในกุ้งได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งความสามารถในการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยลดลงต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันสินค้ากุ้งไทยเหลือส่วนแบ่งในตลาดโลกเพียง 5% เท่านั้น

โดยปี 2567 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกสินค้ากุ้งไทยอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกสินค้ากุ้งไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ราว 1,116 และ 1,073 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลง -9.4% YOY และ -3.9% YOY ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าระดับที่ไทยเคยส่งออกได้สูงสุดในปี 2554 ราว 70%

โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐ และจีน ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ทั้งปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ต้นทุนการผลิตกุ้งของไทยที่สูงกว่าคู่แข่ง และไทยเสียเปรียบด้านสิทธิประโยชน์ทางการค้า จากการถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) จากประเทศคู่ค้า

นอกจากนี้ ปัจจุบันสินค้ากุ้งไทยถูกสหรัฐจัดเก็บภาษีพื้นฐานในอัตรา 10% และอาจถูกปรับขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็น 36% ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเอกวาดอร์ที่ถูกเก็บภาษีพื้นฐาน 10% และอินเดียอาจถูกปรับขึ้นภาษีพื้นฐานและภาษีศุลกากรตอบโต้เป็น 26% อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศระงับภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน ทำให้ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้ากุ้งไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งของไทยจาก 0% เป็น 36% และปรับขึ้นภาษีนำเข้ากุ้งแปรรูปของไทยจาก 3% เป็น 39% จะทำให้ผู้ส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและกุ้งแปรรูปของไทยไปสหรัฐในปี 2568 มีต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้นราว 4.6 และ 3.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ตามลำดับ หรือคิดเป็นต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้นรวม 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.9 พันล้านบาท

ADVERTISMENT

ซึ่งอาจกดดันต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและกุ้งแปรรูปไปสหรัฐสูงถึง 17% และ 35% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและกุ้งแปรรูปทั้งหมด ตามลำดับ

และหากผู้ประกอบการไทยปรับขึ้นราคาสินค้ากุ้งตามต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ราคาส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งของไทยไปสหรัฐสูงถึง 17.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าราคาส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งของเอกวาดอร์ถึง 2.2 เท่า อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยลดลง รวมทั้งอาจมีความเสี่ยงที่ไทยจะถูกกดดันให้เปิดตลาดนำเข้าสินค้ากุ้งจากสหรัฐมากขึ้น อาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตและการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปของไทยยังถูกกดดันจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบใหม่ในปี 2568 จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 345 บาทต่อวัน เป็น 355 บาทต่อวัน คาดว่าจะทำให้ต้นทุนแรงงานเฉลี่ยของธุรกิจกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปเพิ่มขึ้นราว 1-2% และหากภาครัฐปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวัน

คาดว่าจะทำให้ต้นทุนแรงงานเฉลี่ยของธุรกิจกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันราว 5% อาจส่งผลกำไรขั้นต้นของธุรกิจกุ้งลดลงราว 3% จากอัตรากำไรขั้นต้นปี 2564-2566 ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราว 11.7%

Krungthai COMPASS แนะนำ การยกระดับอุตสาหกรรมกุ้งไทยอย่างยั่งยืน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ควรใช้แนวคิด S-H-R-I-M-P ได้แก่ S-Sustainability มุ่งเน้นการผลิตสินค้ากุ้งจากแหล่งประมงที่ยั่งยืนและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ H-High Quality ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้ากุ้งให้ได้ตามมาตรฐานสากล R-Research and Development วิจัยและพัฒนาพันธุ์กุ้งที่ทนต่อโรค รวมทั้งต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

I-Innovation ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อทดแทนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต M-Market Distribution ขยายการส่งออกกุ้งไปตลาดศักยภาพ ได้แก่ จีนและไต้หวัน รวมถึงฮ่องกง สิงคโปร์ และแคนาดา ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการบริโภคกุ้งแปรรูปเพิ่มขึ้น และ P-Partnership ส่งเสริมความร่วมมือกันทั้ง Ecosystem

โดยภาครัฐสามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมกุ้งไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เช่น ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาโรคระบาดในกุ้งอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนเงินทุนในการจัดการฟาร์มเลี้ยงกุ้งและโรงงานแปรรูปกุ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รวมทั้งภาครัฐอาจเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เช่น สหรัฐ และสหภาพยุโรป เพื่อลดอุปสรรคด้านภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออก และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยในตลาดโลก