“ไมลด์ไฮบริด”ใกล้ลงตัว อุตฯชงคลังก่อนเลือกตั้ง

อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง
กระทรวงอุตสาหกรรมรับลูกเอกชนเร่งคลังคลอดภาษี “ไมลด์ไฮบริด” ก่อนเลือกตั้ง ฟากสรรพสามิตยันอัตรา 4% ต่ำเกินไป หวั่นกระทบแพ็กเกจอื่น ๆ ขณะที่ผู้ผลิตเชื่อถ้าคลอดเร็วมีอีกหลายค่ายพร้อมบุก

แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานส่งเสริมการลงทุนกำลังเร่งพิจารณาแพ็กเกจส่งเสริมรถยนต์ประเภทอีโค อีวี รวมถึงอีโค ไมลด์ไฮบริด คาดว่าน่าจะสรุปทั้งหมดได้ทันภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน เนื่องจากเป็นนโยบายที่ต้องการส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงาน ลดปัญหามลภาวะ และเพิ่มความรวดเร็วในการต่อยอดไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ แม้หลายคนจะมองว่าตอนนี้เจ้ากระทรวง ดร.อุตตม สาวนายน ซึ่งรับนโยบายโดยตรงจาก ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ต้องการส่งเสริมและผลักดันแพ็กเกจรถยนต์ไฟฟ้าในหลาย ๆ รูปแบบจะไม่ได้ทำหน้าที่เจ้ากระทรวงแล้วก็ตาม

นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวเสริมว่า แผนการสนับสนุนรถยนต์อีโค อีวี ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำใกล้แล้วเสร็จ คาดจะออกมาทันก่อนเลือกตั้งครั้งนี้ โดยการสนับสนุนดังกล่าวมีหลายแนวทาง และจำเป็นที่ต้องได้รับการส่งเสริมให้สิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

โดยคาดว่ามี 2 แนวทางคือ 1.ออกแพ็กเกจใหม่สำหรับอีโค อีวี โดยเฉพาะ กำหนดเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ใหม่ เนื่องจากมาตรการส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หมดเขตยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2561

หรือ 2.ออนท็อปจากสิทธิประโยชน์แพ็กเกจอีวีที่มีอยู่เดิมแต่จะต้องได้มาตรฐาน EURO 6 ซึ่งก่อนหน้านี้การผลักดันให้เกิดอีโค อีวี เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์เฟส 2 สามารถปรับเปลี่ยนการผลิตไปสู่อีโค อีวี

“ในการหารือครั้งนั้นเราคุยกันว่าอาจยังต้องใช้เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของอีโคคาร์ที่บีโอไอได้เคยให้ไว้ และกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวยังไม่ตกผลึก ยังคงหารือกับทางกรมสรรพสามิต ค่ายรถต่าง ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกรอบ”

“ประชาชาติธุรกิจ” สอบถามเรื่องนี้กับทางกรมสรรพสามิตได้รับคำตอบว่า เรื่องยังอยู่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งต้องดูว่าตอนนี้จะมีคนผลักดันต่ออีกหรือไม่ หากกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแล้วเห็นควรให้บัตรส่งเสริม จึงจะส่งเรื่องต่อไปให้กระทรวงการคลังพิจารณาเรื่องอัตราภาษีต่อไป

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงกรณีมีข่าวว่าเอกชนขอให้คิดภาษีที่ 4% นั้น ยืนยันว่ายังไม่มีข้อสรุป ส่วนเรื่องนี้จะรีบไหมหรือไม่ อยู่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม

ด้านนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวย้ำกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ทางกรมได้ปรับปรุงใหม่ในช่วงที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ทำเสร็จแล้ว แต่คิดว่าคงต้องรอเสนอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาพิจารณา

ส่วนกรณีอีโคคาร์ที่จะต่อยอดไปสู่รถยนต์อีโค อีวี ซึ่งทางเอกชนร้องขอให้ส่งเสริมในแพ็กเกจ Mild Hybrid (ไมลด์ไฮบริด) ด้วยนั้น ยังต้องรอทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประกาศส่งเสริมการลงทุนในรถยนต์ประเภทนี้ก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีประกาศ

“พอบีโอไอให้บัตรส่งเสริม เราถึงจะมาดูเรื่องอัตราภาษี แต่ถ้ายังไม่ส่งเสริมก็ทำไม่ได้ และถ้ามีการส่งเสริมไมลด์ไฮบริดจริง ก็ต้องมาทบทวนอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ โดยต้องดูไม่ให้ไปกระทบกับการส่งเสริมรถยนต์ไฮบริด หรือรถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริด ที่มีการส่งเสริมอยู่แล้วด้วย” นายพชรกล่าว

นายพชรยังกล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องกองทุนส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว ที่ทางกรมได้ยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งกองทุนดังกล่าวขึ้นมา ขณะนี้ได้ปรับปรุงร่างกฎหมายตามที่มีการรับฟังความคิดเห็นมาแล้ว และจะเสนอ รมว.คลังให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งเนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุน จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังและกฎหมายทุนหมุนเวียนด้วย

ก่อนหน้านี้นายพชรเคยกล่าวว่า เงื่อนไขให้ผู้ผลิตอีโคคาร์ ไมลด์ไฮบริด ต้องใช้เวลา 3 ปี ต่อยอดการลงทุนไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้น เชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้เร็วขึ้น เพราะเริ่มจากอีโคคาร์น่าจะทำให้ผู้ผลิตมีอีโคโนมีออฟสเกล

ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังยังมองว่าอัตราภาษีสรรพสามิตแพ็กเกจไมลด์ไฮบริดที่ทางเอกชนร้องขอมาที่ 4% นั้นถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรถยนต์อีโคคาร์ที่ปัจจุบันเสีย 12% และตอนนี้ไมลด์ไฮบริดยังมีผู้ผลิตรถยนต์เพียงค่ายเดียว ดังนั้นหากทางกระทรวงอุตสาหกรรมส่งเสริม ในแง่อัตราภาษีก็ต้องกำหนดให้ดี ไม่ให้กระทบกับกลุ่มที่ได้รับการส่งเสริมไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เชื่อว่าถ้าลงตัว ได้อัตราภาษีที่ดีรถยนต์กลุ่มไมลด์ไฮบริดจะเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจมากเพราะได้ต้นทุนการผลิตต่ำลงมาก

“ถ้าสามารถทำราคาได้ใกล้เคียงกับอีโคคาร์ 4-5 แสนบาท รับรองว่าขายดีแน่ ๆ ทำให้เป้าหมายการขยายไปสู่อีโค อีวี เร็วขึ้นด้วยจากวอลุ่มที่ใหญ่ขึ้น”

ด้านนายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหารมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าคืบหน้าไปถึงไหน แต่ถ้าเร็วดีแน่นอน เพราะผู้บริโภคจะได้ใช้ของดีมีประโยชน์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนมาสด้ายังดำเนินแผนงานตามกรอบที่ยื่นรับส่งเสริมจากบีโอไอภายใต้การลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท

“ผมเชื่อว่าถ้าแพ็กเกจไมลด์ไฮบริดคลอดออกมาได้เร็ว ลูกค้าคนไทยจะได้เห็นรถมาสด้าที่มีทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเรายืนยันว่าสามารถขับเคลื่อนได้วางตลาดได้เร็วขึ้น และน่าจะมีค่ายอื่น ๆ อีกหลายยี่ห้อตอบรับกับแพ็กเกจนี้ เพราะเทคโนโลยีนี้มีกันแทบทุกยี่ห้อ”

นายชาญชัยยังกล่าวถึงโรดแมปการลดมลพิษในอากาศของมาสด้าว่า เป็นตามที่บริษัทแม่กำหนด คือในปี 2030 มาสด้าจะลดปริมาณซีโอทูในอากาศลงจากปี 2010 ให้ได้อย่างน้อย 50% และเชื่อมั่นในเพอร์ฟอร์แมนซ์เครื่องยนต์สันดาปภายในของมาสด้า ซึ่งมีทั้งเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและสกายแอคทีฟ-เอ็กซ์ ผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะยิ่งทำให้รถมาสด้าโดดเด่นมากขึ้น

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat 

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!