“บล.ฟีนันเซีย” ชี้ ROBINS-CRC สวอปหุ้นอานิสงส์นักลงทุนเพียบ “เซนทรัล รีเทล” ไซส์ใหญ่กว่าโรบินสัน 3 เท่า-ธุรกิจแข็งแกร่ง-เรทติ้งดี รอประเมินกำไรหลังแจกแจงหุ้นปลายปีนี้/ต้นปีหน้า ฟาก “บล.เอเซีย พลัส” ชูข้อดีโอกาสเติบโตสูง-ขยายธุรกิในต่างประเทศ
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบัน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (CRC) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.โรบินสัน (ROBINS) โดยถือหุ้นรวม 53.83% (รวมบริษัทลูก) ซึ่งหาก CRC ต้องการซื้อหุ้น ROBINS ทั้งหมดเพิ่มจะต้องใช้เงินหลักหมื่นล้านบาท ดังนั้น CRC จึงตัดสินใจทำการแลกหุ้น (Share Swap) หุ้นแทน ซึ่ง CRC กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อเข้าระดมทุน IPO ในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
“การสวอปหุ้นเปรียบเสมือนการ ROBINS อยู่ในตลาดฯ เหมือนเดิม แต่เข้ามาภายใต้ CRC ที่จะเข้ามาลิส (listed) แทน ซึ่งผู้ถือหุ้นเดิมของ ROBINS จะต้องขายหุ้น ROBINS ให้ CRC เพื่อแลกกลับมาเป็นหุ้น CRC แทน ซึ่งมีข้อดีตรงที่ CRC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า ROBINS ประมาณ 3 เท่า
ดังนั้นในแง่ของความแข็งแกร่งและเรทติ้งของบริษัทจึงดีกว่า ROBINS โดยราคา TENDER OFFER (การทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไป) อยู่ที่ 66.50 บาท อย่างไรก็ตาม แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าราคาเทนเดอร์จะถูกจ่ายออกมาในอัตราส่วนเท่าไหร่ เช่น 1 หุ้น ROBINS จะได้รับกี่หุ้น CRC เป็นต้น โดยคาดว่าจะมีการกำหนดออกมาในช่วงปลายปี 2562 หรือช่วงต้นปี 2563” นายวีระวัฒน์ กล่าว
ขณะที่ประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 บล.ฟินันเซียฯ คาดว่า ROBINS จะมีกำไรสุทธิที่ 3,164 ล้านบาท หรือเติบโต 6.6% เมื่อเทียบกับปี 2561 ในส่วนของมูลค่าหุ้น CRC จะต้องรอประเมินหลังการกำหนดอัตราส่วนของหุ้นที่จะจ่ายให้ ROBINS อีกครั้ง
นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพธุรกิจก็คงมีโอกาสเติบโตที่ดี เพราะมีโอกาสในการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อขยายธุรกิจได้ดีขึ้น สำหรับผู้ถือหุ้น ROBINS เองก็คงดีอยู่แล้ว เพราะมีโอกาสไปถือหุ้นเซนทรัลฯ จากเดิมที่ ROBINS เป็นแค่ห้างสรรพสินค้าที่ครอบคลุมเฉพาะตลาดลูกค้าระดับกลางถึงล่างในพื้นที่ต่างจังหวัด การที่มีเซนทรัลฯ อย่างน้อยเครือข่ายห้างสรรพสินค้าสามารถจะครอบคลุมพื้นที่ในเมืองได้มากขึ้น
“ธุรกิจของ ROBINS ก็ยังมีอยู่ ในฐานะผู้ถือหุ้นที่จะเปลี่ยนมาเป็นเซนทรัลฯ ก็ถือว่ายังเป็นเจ้าของ ROBINS อยู่ นอกจากนี้ เซนทรัลฯ ก็ยังมีสาขาขนาดเล็กๆ อย่างพวก ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต, แฟมิลี่มาร์ท ที่เป็นร้านสะดวกซื้อ และก็ร้านค้าเฉพาะทางอื่นๆ เช่น ไทวัสดุ, พาวเวอร์บาย, ซุปเปอร์สปอร์ต ตรงนี้ยังมีช่องว่าง(room) ให้เติบโตได้ในประเทศไทยอีก แต่ถ้ากลับมาดูผู้ถือหุ้น ROBINS ปัจจุบัน และกลับมาย้อนดูสาขาที่มีอยู่ในต่างจังหวัด
ขณะนี้ ห้างสรรพสินค้าโรบินสันก็ครอบคลุมจังหวัดรองๆ ก็เกือบครบแล้ว เพราะฉะนั้นการเติบโตก็อาจจะต้องมองหาวิธีการเติบโตอื่นๆ เช่น ปรับสาขาเล็กๆ ลงบ้าง หรือขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งถ้ายังถือหุ้น ROBINS เหมือนเดิม ก็ต้องไปเริ่มใหม่หมด เพราะ ROBINS ไม่เคยมีสาขาเล็กๆ เลย และถ้าไปต่างประเทศก็มีแล้วที่เวียดนาม แต่ไปหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก
ขณะที่ถ้าถือหุ้นเซนทรัลฯ แน่นอนว่า มีสาขาที่เซตอัพไว้อยู่แล้ว ขณะที่ในการขยายธุรกิจต่างประเทศเองภายใต้ CRC ก็มีเครือข่ายอยู่ในเวียดนามและอิตาลี ซึ่ง 2 ปีล่าสุดก็ค่อนข้างเห็นการเติบโตที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นการขยายธุรกิจในเครือเซนทรัลมีเครื่องมือที่หลากหลายมากขึ้น ฉะนั้นโอกาสเติบโตในประเทศก็ยังมีด้วยรูปแบบสาขาเล็กๆ ของทางเซนทรัล
รวมถึงลักษณะสินค้าที่ขายเซนทรัลก็มีความหลากหลายมากกว่า เพราะประมาณ 50% เป็นอาหาร แน่นอนเป็นสิ่งจำเป็นกับผู้บริโภค อีกสัก 20% มาจากพวกฮาร์ดไลน์ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า, วัสดุก่อสร้าง ซึ่งทางไทวัสดุทางเซนทรัลก็ยังมีโอกาสเติบโต เพราะมาร์เก็ตแชร์ยังไม่นักในธุรกิจดังกล่าว” นายสุวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ ในแง่ของกำไร จากปัจจุบันที่ข้อมูลของเซนทรัลฯ ยังเบื้องต้นมากจึงไม่สามารถประเมินได้ ในส่วนของกำไร ROBINS ในปี 2562 บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าจะเติบโตประมาณ 5-10%