JWD โชว์กำไร Q2 โตแรง 64% หลังรับรู้ส่วนแบ่งรายได้จาก TRANSIMEX ในเวียดนาม

บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD เข้าสู่ปีแห่งการเติบโต โชว์ไตรมาส 2/62 ทำกำไรสุทธิ 79.8 ล้านบาท เติบโต 64% และมีรายได้รวม 869.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% หลังธุรกิจหลักส่วนใหญ่ที่ขยายตัวได้ดี และเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน TRANSIMEX CORPORATION ประเทศเวียดนาม มั่นใจครึ่งปีหลังจะรักษาอัตราการเติบโตที่ดี หลังรายได้เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ รวมถึงเริ่มดำเนินธุรกิจร่วมทุนกับ Box Seng และ CJ Logistics ด้านผู้บริหารพร้อมรับมือปัญหาสงครามการค้า ชูโมเดลกระจายการลงทุนในต่างประเทศ เพิ่มบริการโลจิสติกส์ครอบคลุมทั้งกลุ่ม B2B และ B2C และแตกไลน์ธุรกิจอาหารเพื่อบริหารความเสี่ยง

ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/62 (เมษายน – มิถุนายน) สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเป็นโลว์ซีซั่นของธุรกิจและมีวันหยุดหลายวัน โดยมีกำไรสุทธิ 79.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 48.7 ล้านบาท และมีรายได้รวม 869.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3% จากช่วงเดียวกันของ
ปีก่อนที่มีรายได้รวม 780.8 ล้านบาท ปัจจัยมาจากบริษัทฯ เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไร 14.5 ล้านบาท หลังเข้าลงทุนถือหุ้น 23.94% ในบริษัท TRANSIMEX CORPORATION ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโลจิสติกส์ชั้นนำในประเทศเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์

ส่วนธุรกิจหลักด้านโลจิสติกส์ก็มีอัตราเติบโตที่ดี ได้แก่ (1) ธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าทั่วไป มีรายได้ 86.9 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.7% เนื่องจากความต้องการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้จากศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ (JCS) เติบโตได้ดี และศูนย์รวมเก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ (LCL) ที่มีบริษัท Freight Forwarder รายใหญ่เข้าใช้บริการหลายราย ส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าทั่วไป เพิ่มขึ้นเป็น 24.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.2% (2) ธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าอันตราย ทำรายได้เป็นสถิติสูงสุดใหม่ที่ 145.4 ล้านบาท เติบโต 15.8% เนื่องจากปริมาณการจัดเก็บตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (3) ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ มีรายได้ 114.3 ล้านบาท เติบโต 9.6% และ (4) ธุรกิจอาหารในประเทศไต้หวัน มีรายได้ 116.1 ล้านบาท เติบโต 62.2% เนื่องจากรับรู้รายได้เต็มไตรมาส เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่รับรู้รายได้เพียง 2 เดือน จากการเติบโตที่ดีในไตรมาส 2/62 ส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม – มิถุนายน) มีกำไรสุทธิ 169 ล้านบาท เติบโต 86.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 90.4 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 28% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 26.8% ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,766.2 ล้านบาท เติบโต 22.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,445.7 ล้านบาท

 

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตประมาณ 20% จากปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,283.9 ล้านบาท โดยภาพรวมธุรกิจ 6 เดือนแรกของปีนี้ถือว่ารายได้รวมเติบโตมากกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังเริ่มรับส่วนแบ่งกำไรจาก TRANSIMEX CORPORATION

ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในครึ่งปีหลังมั่นใจจะรักษาอัตราเติบโตได้ดี โดยภาพรวมธุรกิจเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอยู่ระดับที่น่าพอใจ ในส่วนธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าอันตราย คาดว่าจะมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาส 3/62 เนื่องจากดีมานด์ที่อยู่ในระดับสูง ธุรกิจศูนย์ JCS จะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้หลังได้รับงานใหม่จากลูกค้ารายใหญ่ ธุรกิจห้องเย็นคาดว่าจะมีอัตราเติบโตที่ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุงคลังสินค้าทั่วไปในย่านบางนาเป็นห้องเย็นเพื่อรองรับงานจากลูกค้ารายใหญ่ ส่วนธุรกิจให้บริการจัดเก็บและบริหารสินค้าทั่วไป รวมถึงธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ยังคงมีการเติบโตที่ดี

ขณะที่ธุรกิจร่วมทุนกับ Bok Seng Logisitcs ประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้บริการโลจิสติกส์เฉพาะทางสำหรับสินค้าขนาดใหญ่พิเศษ (Project Cargo Logistics) ในประเทศไทยและภูมิภาค และธุรกิจร่วมทุนกับ CJ Logistics ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่จากเกาหลีใต้ เพื่อขยายตลาดให้บริการบริหารจัดการสินค้าแบบ B2B และ B2C ในไทย ได้เริ่มให้บริการแก่ลูกค้าแล้ว โดยล่าสุดบริษัทฯ ร่วมทุนกับ CJ Logistics เพิ่งได้รับงานจากลูกค้ารายใหญ่ นอกจากนี้คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของ TRANSIMEX CORPORATION จะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้น


สำหรับปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการส่งออกชะลอตัว อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้บริหารความเสี่ยง (Risk Management) อย่างรัดกุม โดยในช่วงที่ผ่านมาได้กระจายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา อินโดนีเซีย เวียดนามและไต้หวัน รวมทั้งขยายบริการโลจิสติกส์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องครอบคลุมกลุ่ม B2B B2C โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และฟู้ดซัพพลายเชนที่ประเทศไต้หวัน เพื่อกระจายสัดส่วนรายได้และเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมทั้งซัพพลายเชนในเซ็กเมนต์ที่ต้องการความชำนาญและอยู่ในเทรนด์การเติบโต