ในวันนี้ (25 ก.ย.) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เปิดตัวรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ประจำปี 2562 ฉบับล่าสุด (Asian Development Outlook 2019 Update : ADO Update) โดย ADB ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ เหลือ 3.0% จากที่มีคาดการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ที่ 3.2%
นายเทียม ฮี อึง เศรษฐกรอาวุโส ประจำ ADB ระบุถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องปรับลดประมาณการ เนื่องจากประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการส่งออกซึ่งเป็นผลกระทบที่มาจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่ยังยืดเยื้อ สำหรับภาคการท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยลดลง ขณะเดียวกัน เงินบาทยังแข็งค่าเป็นเวลานาน รวมไปถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยนายเทียม ระบุว่า ประเทศเอเชียหลายแห่งเผชิญปัญหานี้คล้ายๆ กัน เช่น จีน และมาเลเซีย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- หุ้นไทยดิ่งหนัก ตลาดหลักทรัพย์ออก Statement ชี้แจง
- เปิดไทม์ไลน์ลูกค้าซิตี้แบงก์ต้องรู้! ก่อนโอนย้ายบัญชีมาเป็น “ยูโอบี” 21 เม.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ทาง ADB เชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 3.2% (จากที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ที่ 3.7%) โดยมีปัจจัยหลักมาจากเมกะโปรเจ็กต์จากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมองว่าโครงการจะเริ่ม kick off ได้จริงๆ ในปีหน้า หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการพูดคุยและทำสัญญาต่างๆ ในปีนี้
นอกจากนี้ นายฮิเดอากิ อิวาซากิ ผู้อำนวยการ สำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชียประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังถือว่าอยู่ในระดับดี หากเปรียบเทียบกับประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ อย่างเช่น การดำเนินโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐที่ล่าช้า ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร
ขณะที่ นายเทียม กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไทย มองว่า ไทยมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากหลายประเทศ ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น การปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจ “ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด” สำหรับไทย ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำแล้ว
“ผมมองว่ารัฐบาลไทยควรจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการจูงใจด้านอื่นๆ ที่มีความเป็นไปได้ เช่น การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อสร้างความได้เปรียบจากสงครามการค้า ซึ่งยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ และจบอย่างไร ขณะที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว น่าจะยังได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งตัวในระยะหนึ่ง” เศรษฐกรอาวุโส ของ ADB กล่าวเพิ่มเติม
ในรายงานฉบับล่าสุดของ ADB ระบุว่า ท็อป 10 นักลงทุนในไทยที่มีการลงทุนมากที่สุด ในไตรมาส 1/2019 ได้แก่ ญี่ปุ่น (42%) จีน (22%) ตามมาด้วย สวิสเซอร์แลนด์ ฮ่องกง สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน ออสเตรเลีย สวีเดน และเวียดนาม สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนจีนตามมาเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น ซึ่งผลกระทบจากสงครามการค้าสามารถเปิดโอกาสให้กับไทยมากขึ้นอีก หากรัฐบาลมีมาตรการต่างๆ ที่จูงใจ
นอกจากนี้ ADB ยังได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในปี 2562 อยู่ที่ 5.4% จากเดิมที่ประเมินว่าจะโตราวๆ 5.7% ส่วนในปี 2563 คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 5.5% ลดลงคาดการณ์ลง 1% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญยังคงเป็นความกังวลจากศึกการค้าของ 2 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ