Climate Change ติดไซเรน : แล้งฉุดใจ ท่วมฉุกเฉิน

คอลัมน์ ร่วมด้วยช่วยคิด

ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์ 

ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธปท.

“พวกคุณกล้าดียังไง” (How dare you !) คำพูดของเด็กหญิงวัย 16 ปี เกรียตา ทุนแบร์ก นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดน ที่ทั้งตรึงใจและเตือนสติผู้คนมากมายให้หันกลับมาสนใจการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ซึ่งได้ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อผู้นำจากหลายประเทศทั่วโลกที่ร่วมประชุมว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ค.ศ. 2019 (UN ClimateAction Summit 2019) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา หากแต่เรื่องสภาวะโลกร้อนยังคงเป็นที่ถกเถียงไม่จบว่า เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงแค่แนวคิดของคนบางกลุ่มเท่านั้น

อย่างไรก็ดี เมื่อลองมองการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศจะเห็นถึงความรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลัง อาทิ ยุโรปเผชิญการเกิดคลื่นความร้อน (heat wave) ถึง 2 ครั้ง ในช่วงห่างกันไม่ถึง1 เดือน ทำให้หลายเมืองมีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตด้วยสภาพอากาศร้อนผิดปกติหลายร้อยรายพายุเฮอริเคนโดเรียนพัดถล่มพื้นที่ตอนเหนือของบาฮามาส เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นับเป็นเฮอริเคนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เข้าถล่มบาฮามาส และยังเคลื่อนเข้าไปสร้างความเสียหายต่อรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ และแคนาดา ถือเป็นมหาวาตภัยที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้

ประเทศไทยเราเองก็เช่นกัน หากจำกันได้ช่วงต้นฤดูฝนที่ผ่านมา ในเดือนพ.ค.-มิ.ย. 62 ฝนมาช้ากว่าปกติ ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาก็น้อยกว่าค่าปกติ ซึ่งเกิดจากโลกที่กำลังเผชิญปรากฏการณ์เอลนิโญกำลังอ่อนทำให้ไทยมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าปกติ และมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือฝนตกน้อยกว่าภาคอื่น ๆ กระทบการเพาะปลูกโดยเฉพาะข้าวซึ่งต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก

นอกจากนี้ ปริมาณน้ำในเขื่อนสำคัญหลายแห่งที่อยู่ในระดับต่ำสร้างความกังวลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ว่าจะมีน้ำเพียงพออุปโภคบริโภคและการเกษตรหรือไม่ ในช่วงดังกล่าว ปัญหาภัยแล้งถือเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงไม่เว้นแต่ละวัน แต่เพียงไม่กี่เดือนถัดมาภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่ประเทศไทยกลายเป็นอุทกภัยจากการเผชิญกับพายุโซนร้อนโพดุล ตามด้วยพายุคาจิกิ ที่เกิดขึ้นอย่างหนักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในช่วงก่อนหน้า

แม้พื้นที่เกษตรบางส่วนอาจได้รับผลดีจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นแต่ในบางพื้นที่ เช่น อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด เสียหายอย่างมากจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้น และรุนแรงต่อเนื่อง จน 20 ก.ย. 62 รัฐบาลต้องออกประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยในพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว ให้เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ระดับ  3 ระดับเดียวกับเมื่อครั้งเกิดอุทกภัยรุนแรงทางภาคใต้ ในช่วง ธ.ค. 59-ม.ค. 60

ผลจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและภัยธรรมชาติเหล่านี้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะต่อภาคเกษตรประเทศไทยที่มีกำลังแรงงานในระบบถึง 1 ใน 3 เกษตรกรส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาฟ้าฝนเป็นหลัก เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงระบบชลประทาน จึงมีความเสี่ยงสูงที่รายได้จะแปรเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งภัยแล้ง และน้ำท่วมที่ทำให้ผลผลิตเสียหาย

โดยผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่เพียงที่เกษตรกรซึ่งได้รับรายได้ลดลง แต่ยังส่งผลต่อไปถึงประชาชนทั่วไปที่บริโภคผลผลิตทางการเกษตร ผ่านราคาผลผลิตที่อาจเพิ่มสูงขึ้นได้มากตามปริมาณผลผลิตที่ขาดแคลนจากภัยธรรมชาติ ดังเช่นกรณีของราคาข้าวเหนียวที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ตามปริมาณผลผลิตข้าวเหนียวที่เหลือน้อยจากปีก่อน ซึ่งเกิดจากการที่ผลผลิตปีก่อนบางส่วนเสียหายจากพายุโซนร้อนเซินติญจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ รวมทั้งความกังวลต่อผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ในปีนี้ ที่คาดว่าจะลดลงจากผลของภัยแล้งและน้ำท่วมทำให้ราคาข้าวเหนียวปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตามกลไกของตลาด

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและภัยธรรมชาติที่กระทบต่อเนื่องทั้งในมุมของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้า และในมุมของประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภค ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ผู้ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องติดตามภาวะสภาพอากาศทั้งของโลกและในประเทศอย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องประเมินผลกระทบต่อผลผลิตภาคการเกษตรและรายได้เกษตรกรจากสถานการณ์สภาพอากาศทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมในกรณีต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า เพื่อนำไปสู่การใช้นโยบายเศรษฐกิจ การเงิน ที่เหมาะสมได้อย่างทันการ

อย่างไรก็ดี แม้ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน จะตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตภาคเกษตร และความเป็นอยู่ของเกษตรกร รวมถึงภาพเศรษฐกิจในองค์รวมแล้วก็ตามหากแต่ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การเงินเพียงภาคส่วนเดียว คงไม่สามารถบรรเทาหรือป้องกันมิให้เกิดสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือภัยธรรมชาติรุนแรงที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นได้

แม้ภาครัฐจะออกมาช่วยเหลือเกษตรกรหรือผู้ประสบภัยในรูปแบบของการให้เงินช่วยเหลือ แต่การช่วยเหลือดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างมีระบบและยั่งยืนนั้นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ คำนึงถึงการจัดสรรให้เหมาะสมเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเพาะปลูกในภาคเกษตร โดยต้องมีการวางแผนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเตือนภัยพิบัติที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างทันการ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับภัยต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที และสามารถลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเชื่อมโยงประชาชนกับภาครัฐในการดำเนินการต่าง ๆ รวมถึงเป็นศูนย์รวมความรู้ของเกษตรกรด้วยกันเอง โดยอาจใช้เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดกลยุทธ์ในการทำการเกษตรที่ปรับตัวให้เหมาะสมสภาพอากาศที่แปรปรวน อาทิ การทำฟาร์มลอยน้ำ (ปลูกผักลอยน้ำโดยใช้ผักตบชวา)ในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมเป็นเวลานาน บริหารจัดการการเพาะปลูกด้วยการปลูกพืชผสมผสาน หรือการเพิ่มอาชีพทางเลือก นอกเหนือจากการทำการเกษตรเพียงอย่างเดียว ในที่สุดแล้วเมื่อสภาพอากาศและภัยธรรมชาติอาจรุนแรงและเลวร้ายลงมากจนถึงจุดที่เราไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้ หากทุกคนไม่ร่วมมือกันตั้งแต่วันนี้ แล้วใครเล่าจะช่วยเรา