ผลกระทบโควิด-19 ต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม

คอลัมน์ เติมความคิด พิชิตการลงทุน
โดย เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่าน ตลาดหุ้นทั่วโลกยังเผชิญปัจจัยกดดันหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขยายวงกว้างไปนอกประเทศจีน โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรป ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโลกไปแล้ว กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นปรับลงแรง โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน เราจะได้ยินคำว่า circuit breaker (ภาวะที่ตลาดหุ้นลงแรง จนถึงระดับที่ต้องหยุดการซื้อขายชั่วคราว) เกิดขึ้นเกือบทุกตลาดหุ้น

ดังนั้น คอลัมน์ในฉบับนี้ ผมจึงถือโอกาสนำบทวิเคราะห์ของฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน SCBS ที่ประเมินถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลต่อกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งผมจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่กระทบมาก กลุ่มอุตสาหกรรมที่กระทบปานกลาง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบน้อย

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มโรงแรม ปี 2020 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 35.8 ล้านคน หดตัว 10% (จากปีก่อน 39.8 ล้านคน) มองว่ากระทบกำไรของกลุ่ม โดย MINT จะได้รับผลกระทบจาก NHH ที่มี operation ในยุโรปด้วย ทำให้เราคาดว่าปี 2020 ของ MINT กำไรจะลดลง 20% YOY ขณะที่ ERW และ CENTEL คาดว่ากำไรลดลง 50% YOY และ 32% YOY

กลุ่มขนส่ง การหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่ากระทบโดยตรงต่อกำไรของ AOT ขณะที่กลุ่มสายการบินอย่าง AAV และ THAI เรามีความกังวลต่อผลขาดทุนที่จะมากกว่าคาด และปัญหาสภาพคล่องของบริษัท ขณะที่เราคาดว่าผลกระทบทางอ้อมจำกัดต่อกำไรของ BTS, BTSGIF และ BEM โดยเราประเมินทุก 1% (จาก 5% เป็น 4%) ที่หายไปของจำนวนผู้โดยสารจะกระทบกำไร BTS ที่ -0.2%, BTSGIF -1.4%, BEM -0.6%

กลุ่มพลังงาน อุปสงค์น้ำมันที่ชะลอตัวคาดว่ากระทบต่อราคาน้ำมันและค่าการกลั่น บั่นทอนกำไรของ PTTEP, TOP, SPRC, ESSO

ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบปานกลาง ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยว หรือผลจากมาตรการภาครัฐที่ลดการชุมนุม อาทิ หุ้นที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าได้รับผลกระทบเชิงลบ อาทิ TKN, SPA, BEAUTY, DDD และหุ้นที่มีการให้บริการแก่ประชาชนเกิน 50 คน หรือจำนวนมาก รวมทั้งเป็นสถานที่สำหรับพบปะสังสรรค์ หรือพูดคุยนอกบ้าน คาดยอดขายหดตัวหนักจากการปิดให้บริการหรือเลื่อนการชุมนุม อาทิ MAJOR, IMPACT, GPI, AUCT, M, AU, ZEN เป็นต้น

กลุ่มค้าปลีก คาดยอดขายสาขาเดิม/รายได้ค่าเช่า/กำไรของผู้ประกอบการที่มีทำเลที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยว คาดหดตัว 3-5% อาทิ MAKRO, CPALL, BJC, CPN เป็นต้น

ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อย ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ใน รพ.ที่มีฐานผู้ป่วยต่างชาติสูงอย่าง BH สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ 65%, BDMS สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ 30% คาดได้รับผลกระทบเชิงลบ แต่มองว่ากระทบจำกัดต่อ รพ. ที่มีฐานผู้ป่วยไทยเป็นหลัก และปีนี้มีปัจจัยหนุนประกันสังคมปรับขึ้นค่าบริการทางการแพทย์ อาทิ BCH, CHG, RJH เป็นต้น

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อุปสงค์ในประเทศจะลดลงจากความไม่แน่นอนของรายได้ในอนาคต และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่เข้มงวดขึ้น ขณะเดียวกันคาดได้รับผลกระทบจากการชะลอการโอนของลูกค้าต่างชาติด้วย อาทิ SIRI, ANAN, NOBLE, AP, PSH เป็นต้น

กลุ่มสื่อสาร ที่คาดได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด เนื่องด้วยเชื่อว่าปริมาณการใช้ data ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นเรื่องโควิด-19

ส่วนแนวโน้ม SET ในมุมมองผม มองว่าบริเวณ 900 จุดลงไป เริ่มน่าสนใจ เนื่องจากเทียบเคียงกับวิกฤตเศรษฐกิจ (subprime) ในปี 2008 โดยช่วงนั้น SET ปรับลงจากจุดสูงบริเวณ 925 จุด ลงมาทำจุดต่ำที่บริเวณ 380 จุด หรือคิดเป็นอัตราปรับลงกว่า 59% ส่วนรอบปัจจุบัน SET ปรับลงมาจากจุดสูงบริเวณ 1,850 จุด ดังนั้น หากคิดเป็นอัตราการปรับลงประมาณ 50-60% SET จะลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 740-925 จุด ขณะที่แนวรับหลักจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยใช้ Fibonacci ratio ที่ระดับ 61.8% จะได้แนวรับเป้าหมายที่บริเวณ 870-880 จุด

สุดท้าย อยากฝากไว้ หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย กลุ่มหุ้นที่จะฟื้นตัวได้แรง คือ กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากสุดนั่นเองครับ


และพบกันใหม่ในฉบับหน้า…ด้วยรักและหวังดี..ท่านสามารถติดตามข่าวสาร และความรู้ด้านการลงทุนผ่าน facebook เอกภาวิน สุนทราภิชาติ และ Line ที่ @wavesmart