อนาคตตลาดหุ้นเวียดนาม

คอลัมน์ จัตุรัสนักลงทุน

โดย ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง

ผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามตั้งแต่ต้นปี 2014 ช่วงนั้น VN Index อยู่ประมาณ 500 จุด ล่าสุดขึ้นมา 44% เทียบกับ SET Index ที่เพิ่มขึ้นมา 8% ในระยะเวลาเดียวกัน ช่วงแรกที่เริ่มลงทุน เวลาผมเล่าเรื่องตลาดหุ้นเวียดนาม นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ได้แต่ส่ายหัว มีคนที่ศึกษาจริงจังแค่หยิบมือ แต่พอผ่านไป 3 ปี งานสัมมนาเกี่ยวกับหุ้นเวียดนาม 200 กว่าคน ก็ถูกจองเต็มภายในไม่กี่วัน พอร์ตการลงทุนของนักลงทุนไทยในเวียดนาม ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีมูลค่ารวมกันหลายพันล้านบาท ทำให้บริษัทจดทะเบียนที่เวียดนามหลาย ๆ บริษัท ต้องบินมาที่เมืองไทยเพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุน

นับว่าเป็นพัฒนาการที่โดดเด่นมากในช่วงเวลาแค่ 3 ปี ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ช่วยส่งเสริมกระแสของหุ้นเวียดนาม นอกจากผลตอบแทนของตลาดที่โดดเด่นกว่าประเทศไทยแล้ว คือบทความที่ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ได้ให้แนวคิดว่าเวียดนามคือ “The Next Thailand” ทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันให้ความสนใจ

แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มลงทุน คงอยากจะทราบว่า “วันนี้สายเกินไปหรือยัง?” โอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูง ๆ ในตลาดหุ้นเวียดนามยังพอมีหรือไม่ การจะตอบคำถามนั้นได้ เราต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญสองอย่างคือ 1) แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน 2) P/E Ratio หรือความถูกแพงเมื่อเทียบกับกำไร

แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมักจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับกับเศรษฐกิจ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตหลายอย่าง ตั้งแต่การส่งออกที่เติบโตในระดับ 18% ต่อปี (ผมเชื่อว่าภายใน 5 ปีมูลค่าการส่งออกของประเทศเวียดนามน่าจะแซงประเทศไทย) เงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเงินลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) รวมถึงปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือกำลังซื้อในประเทศที่เติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าในระยะยาว เสน่ห์ของประเทศเวียดนามในฐานะเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก อาจจะไม่น่าดึงดูดใจนัก เนื่องจากค่าแรงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็อาจจะถูกจำกัดด้วยหนี้สินของรัฐบาลที่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือกำลังซื้อภายในประเทศ เนื่องจากฐานรายได้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% ต่อปี และความสามารถในการกู้ยืมที่สูงขึ้น ยอดขายรถยนต์เติบโต 30-40% ต่อปีมาหลายปีติดกัน ยอดขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ถึงแม้การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของคนเวียดนามจะมากขึ้น แต่ก็ยังห่างกับประเทศไทยอยู่มาก ปัจจุบันสินเชื่อเพื่อการบริโภคของเวียดนามเมื่อเทียบกับ GDP ยังเป็นแค่ 1 ใน 3 ของประเทศไทย ยังไปได้อีกไกล

การเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อ PE ของหุ้นในตลาด นอกจากนี้ การที่มีหุ้น IPO ใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด, การปรับเพิ่ม Foreign Limit สำหรับนักลงทุนต่างชาติ, พัฒนาการของตลาดทุน เช่น ตลาดอนุพันธ์ และ การอนุญาตให้ซื้อขายแบบ Net Settlement, และโอกาสที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะถูกอัพเกรดจาก MSCI จาก Frontier เป็น Emerging Market จะเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้ PE ของตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ผมคาดว่าปัจจัยหลังสุดน่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างมหาศาล เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับตลาดหุ้นปากีสถาน ที่ดัชนี KSE 100 เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% ในช่วงเวลา 5 ปีก่อนที่จะได้รับการถูกอัพเกรด (ขณะนี้ในเอเชียเหลือแค่ 3 ประเทศที่ยังเป็น Frontier นอกจากเวียดนาม ก็จะมีศรีลังกาและบังกลาเทศ)


ส่วนตัวผมมองว่าวันนี้เส้นทางของตลาดหุ้นเวียดนามยังเติบโตได้อีกมาก ตอนนี้ยังมาไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การที่ VN Index จะเพิ่มขึ้นแบบที่ผ่านมาไปอีก 10-20 ปีคงเป็นไปไม่ได้ ในฐานะนักลงทุนก็ต้องมองหา “ความไม่มีประสิทธิภาพ” ของตลาด มองหาหุ้นที่แข็งแกร่ง มีโอกาสในการเติบโตสูง ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว การจะปั้นพอร์ตให้โต 100 เท่าภายในระยะเวลา 20 ปีก็อาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เหมือนอย่างนักลงทุนระดับตำนานหลาย ๆ คนทำมาแล้วกับตลาดหุ้นไทย