“กองทุนทองคำ”ยีลด์พุ่ง17% ล้อสถิตินิวไฮรอบ8ปี/เตือนผลขาดทุนสูง

ราคาทองคำ ทองรูปพรรณ วันนี้
แฟ้มภาพ

“กองทุนทองคำ” ยีลด์พุ่งตามเทรนด์ราคาทอง “มอร์นิ่งสตาร์ฯ” เผยต้นปีถึง 14 เม.ย. 63 ผลตอบแทนกระโดด 17% เตือนระวังลงทุนหวังผลตอบแทน เหตุผลขาดทุนสูง 11% พร้อมเปิดโผกองทุนทองคำยีลด์เด่นย้อนหลัง 1-5 ปี ฟาก “บลจ.พรินซิเพิล” เตือนหลีกเลี่ยง เหตุราคากองทุนปรับขึ้นสูงแล้ว-แนะรอจังหวะย่อตัวค่อยเข้าสะสม

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ การลงทุนในกองทุนทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 9.2% โดยเป็นไปตามราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2562 ทำสถิติใหม่รอบ 8 ปี ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยงสูง สวนทางกับภาพรวมผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนรวมสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ที่ยังไม่ดีนัก

โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 14 เม.ย. 63) ผลตอบแทนจากราคาทองคำปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก เฉลี่ยที่ 17% ถือเป็นปกติที่เมื่อการลงทุนในสินทรัพย์อื่นและแนวโน้มเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูง รวมทั้งดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ นักลงทุนมักจะนึกถึงทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในตัวเอง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม แนะนำให้นักลงทุนมองทองคำในเชิงของการบริหารพอร์ตการลงทุนมากกว่าซื้อเพราะหวังผลตอบแทนที่กำลังสูงขึ้น เนื่องจากลักษณะเฉพาะของทองคำที่การเคลื่อนตัวของราคามักจะไม่ไปในทางเดียวกันกับสินทรัพย์ประเภทอื่นและมีความผันผวนมากกว่า ซึ่งในบางครั้งอาจมีผลขาดทุนที่สูงได้

“อย่างเช่นผลตอบแทนกองทุนทองคำตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 14 เม.ย. 2563 เฉลี่ยที่ 17% แต่ก็มีผลขาดทุนสูงสุดถึง 11% ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาการลงทุนในทองคำ โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง และปรับสัดส่วนการลงทุนทองคำในพอร์ตให้เหมาะสม” นางสาวชญานีกล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากมอร์นิ่งตาร์ฯ (ณ 14 เม.ย. 63) ยังพบว่าในช่วง 1 ปีย้อนหลัง กองทุนทองคำที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.กองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ (TMBGOLD) ผลตอบแทน 35.50% 2.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ (SCBGOLD) 35.47% และ 3.กองทุนเปิดบัวหลวงโกลด์ฟันด์ (BGOLD) 34.83%

ขณะที่ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ได้แก่ 1.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (SCBGOLDH) 8.34% ขณะที่อันดับ 2 มี 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-H (TGOLDBULLION-H) 8.18%, กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่งเพื่อการเลี้ยงชีพ-H (TGOLDRMF-H) 8.18% และกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) 8.18% และ 3.กองทุนเปิดเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGDRMF) 8.04%

ส่วนในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ได้แก่ อันดับ 1 มี 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-UH (TGOLDBULLION-UH) 6.53% และ SCBGOLD 6.53% 2.กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่งเพื่อการเลี้ยงชีพ-UH (TGOLDRMF-UH) 6.30% และ 3.BGOLD 6.25%

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล กล่าวว่า บลจ.พรินซิเพิลแนะนำหลีกเลี่ยงกองทุนทองคำในช่วงนี้ เนื่องจากราคากองทุนปรับขึ้นไปค่อนข้างสูงแล้วพอสมควร จากราคาทองคำที่ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (new high) ในรอบหลาย 10 ปี แม้ว่ากองทุนทองคำจะดูน่าสนใจจากราคาทองคำที่ปรับขึ้น แต่ยังคงมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากราคาที่ปรับขึ้นเป็นการปรับขึ้นจากการเก็งกำไร

“สำหรับคนที่มีการลงทุนในกองทุนทองคำอยู่แล้ว เราแนะนำให้ถือต่อ แต่หากยังไม่มีแนะนำรอให้ราคาทองคำปรับลดลงมา ค่อยหาจังหวะเข้าซื้อในระยะถัดไป เชื่อว่าจะมีจังหวะที่ปรับตัวลงแรงอีกครั้ง ดังนั้น ผู้ที่สนใจลงทุนกองทุนทองคำควรรอให้ราคาทองปรับลดลงแรง ๆ ก่อน แล้วจึงค่อยเข้าไปเก็บสะสม ไม่แนะนำให้ไล่ซื้อตอนนี้” นายวินกล่าว

สำหรับกองทุนทองคำภายใต้การบริหารของ บลจ.พรินซิเพิล เป็นกองทุนทองคำประเภทที่ทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (hedging) 100% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 14% ระดับเดียวกันกับกองทุนทองคำอื่น ๆ ในตลาดที่มีการ hedging ขณะที่กองทุนทองคำในตลาดที่ไม่ได้ hedging จะมีผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 20%

“ปีนี้คนที่ไม่ทำ hedging เลย เขาอาจจะได้ผลตอบแทนมากกว่า เพราะค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่ของเราถ้ามองผลตอบแทนระยะยาวหน่อยจะชนะกองทุนอื่น ๆ เพราะในอดีตเฉลี่ยแล้ว ค่าเงินบาทจะแข็งค่าเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เรามักจะแนะนำลูกค้าว่าถ้าไม่มั่นใจเรื่องค่าเงินบาท ให้ซื้อกองทุนที่ทำ hedging ดีกว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าจะได้ไม่เจ็บตัวมาก” นายวินกล่าว