คอลัมน์ ลงทุนทั่วโลก โดย สุรศักดิ์ ธรรมโม บลจ.วรรณ
นับจากระดับต่ำสุดของตลาดหุ้นปีนี้เดือน มี.ค.จนถึงสัปดาห์ที่ 3 ของ มิ.ย. 63 ดัชนีหุ้นโลกเพิ่มกว่า 30% ดัชนีหุ้น S&P สหรัฐเพิ่มประมาณ 40% ขณะที่ดัชนีแนสแดคเพิ่มมากกว่านั้น หลายบริษัทจำนวนมากไม่นานมานี้ทำสถิติราคาหุ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การทะยานของดัชนีหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐทำให้เกิดความกังวลและถกกันในเรื่อง risk-reward ในหุ้นนั้นอยู่ในสถานะที่ฟองสบู่มากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานหุ้น ได้แก่ ศักยภาพการทำกำไร ความสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน สถานะหนี้สินในงบดุลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เป็นต้น ซึ่งปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ได้รับผลกระทบมากจากการระบาดของโควิด-19 และมาตรการ lockdown ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา
ในเชิงพื้นฐานด้านเศรษฐกิจล่าสุด IMF คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้หดตัว -4.9% และใช้เวลามากกว่า 2 ปีที่กิจกรรมเศรษฐกิจจะกลับสู่ปกติ ในเชิงปัจจัยพื้นฐานรายบริษัทนั้น หลังประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ ฝ่ายบริหารของ บจ.ทั่วโลกส่วนใหญ่ได้เตือนถึงแนวโน้มกำไรและผลดำเนินงานที่จะไม่ดีเมื่อเทียบอดีตและมีความไม่แน่นอนมากในอนาคต แต่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นอย่างมากในช่วงเกือบ 3 เดือนเสมือนว่าเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการบริษัทจะฟื้นเป็นรูปตัว V และผลประกอบการ บจ.จะขยายตัวอย่างมาก (เสมือนว่ากำไรขยายตัว 2 หลักขึ้นไปต่อเนื่องหลายปี) ซึ่งนี่ไม่น่าจะใช่ภาพปัจจัยพื้นฐานที่ถูกต้อง นักลงทุนระดับโลกหลายท่านกังวลประเด็น risk-reward ในหุ้น คนที่แสดงความวิตกอย่างชัดเจน คือ Stanley Druckenmiller กล่าวในการประชุมของ Economic Club New York เมื่อ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาถึง risk-reward ในหุ้นที่อันตรายมากที่สุดเท่าที่เขาเห็นในประสบการณ์ลงทุนของเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มองไปข้างหน้าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นต่ำมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงในอนาคตของตัวบริษัทเอง
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค.2567
- เรือชนสะพานถล่มในสหรัฐ กระทบเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต
ในความเป็นจริงบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำจำนวนมาก แนะนำนักลงทุนให้เข้าไปลงทุนในหุ้นและมองแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นจะขยายตัวต่อเนื่องได้อีกหลายปี จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลกและนโยบายการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันบทวิเคราะห์และเอกสารมุมมองแนวโน้มการลงทุนของบริษัทจัดการลงทุนทั่วโลกขนาดใหญ่ล้วนแต่ระบุถึงจุดยืนกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทจัดการลงทุนที่เน้นเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้น ผลสำรวจของนักลงทุนสถาบันทั่วโลกในเดือน มิ.ย. (รวบรวมโดย BofA Merrill) ให้ภาพไม่ต่างกัน คือเร่งลงทุนในหุ้น ที่น่าแปลกคือในผลสำรวจมีการนำมุมมองของนักลงทุนรายย่อยเข้ามาด้วยที่สะท้อนมุมมองเชิงบวกและการเร่งนำเงินสดในมือเข้าลงทุนในหุ้นให้เร็วที่สุด รายงานของ Goldman Sachs ไม่นานมานี้ระบุถึงการเข้ามาของรายย่อยและสถานะความร้อนแรงของการเปิดบัญชีหุ้นของบริษัทนายหน้าหลักทรัพย์ออนไลน์ที่จับลูกค้ารายย่อยด้วยค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น TD Ameritrade และ Robin hood ให้ภาพเดียวกันคือ ภาวะกระทิง (bullish) ในตลาดหุ้นสหรัฐที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพราะนักลงทุนสถาบันและรายย่อยตบเท้าเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเช่นนี้มาจาก 1) นโยบายการเงินของ Fed และธนาคารกลางใหญ่ของโลกที่เป็นไปในทางเดียวกันคือ พิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ได้รับผลลบอย่างมากจากโควิด-19 2) ประสบการณ์จากปี 2551 ถึงปัจจุบัน พบว่าเมื่อธนาคารกลางลงมือด้วยนโยบายการเงินผ่อนคลายสุดขั้วเช่นนี้ ราคาสินทรัพย์ทางการเงินโดยเฉพาะหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก ในกรณีตลาดหุ้นสหรัฐ 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนปีละ 13% ดีที่สุดในโลก ขณะที่ในด้านความผันผวนของหุ้นสหรัฐ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราวปีละ 13% ต่ำที่สุดในโลก เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐในอดีตอันใกล้ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก และความผันผวนต่ำที่สุดในโลกเป็นเช่นนี้จากมาตรการผ่อนคลายสุดขั้วของ Fed และธนาคารกลางใหญ่ของโลก ทางเลือกการเข้าลงทุนในหุ้นจึงเป็นทางเลือกหลักในปัจจุบันของนักลงทุนสถาบันและรายย่อย คำถามคือภาวะเช่นนี้จะดำเนินต่อไปได้นานเพียงใด และภาพกระทิงตลาดหุ้นในปัจจุบันและ 3 ปีจากนี้ไปจะเป็นภาพเดียวกับเมื่อหลังวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 จนถึงปัจจุบันหรือไม่ที่หุ้นเป็นสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ?
ความเห็นของผมคือ เราควรไล่พิจารณาทีละองค์ประกอบทั้งด้านนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ 300 ปีก่อนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของจอห์น ลอว์ ที่สร้างฟองสบู่ในตลาดหุ้นลูกใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (วิธีการของลอว์มีส่วนคล้ายกับที่ Fed ทำปัจจุบัน) ความร้อนแรงระยะสั้นจนทำให้ภาพการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นและตราสารหนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (correlation) ในระดับที่สูงมากที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่ง correlation ควรจะแตกต่างกันเพื่อทำให้การกระจายสินทรัพย์การลงทุนและการบริหารความเสี่ยงเป็นไปได้อย่างดี และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมเศรษฐกิจโลกมีส่วนให้บริษัทบางบริษัท (โดยมากเป็นบริษัทเทคโนโลยี) อย่างน้อยใน 5 ปีนี้จะเป็นผู้ชนะ