โควิดทุบกำไร”เคทีซี” แผ่ว! ไตรมาส 2 ลดลง 13% อยู่ที่ 1,149 ล้านบาท ครึ่งปีแรกหดตัว 4% ปิดที่ 2,790 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง 9.6% เอ็นพีแอลบัตรเครดิตอยู่ที่ 5.6% เอ็นพีแอลสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 8.5% “ระเฑียร” คาดไตรมาส 2 จุดต่ำสุดแล้ว เล็งส่ง “พี่เบิ้ม” กลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกัน รุกตลาดควบคู่สินเชื่อพิโก้และนาโนไฟแนนซ์ ชิงสร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ชี้ครึ่งปีหลังธุรกิจยังเผชิญเสี่ยงกดดันความสามารถชำระหนี้
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทงวดไตรมาส 2/2563 และงวดครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,149 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 1,232 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,790 ล้านบาท หดตัว 4% (ตามลำดับ) ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรวมเพิ่มขึ้น 9.3% และ 10.0% หรือมีมูลค่าเท่ากับ 3,632 ล้านบาท และ 7,247 ล้านบาท ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง 20.4% และ 12.3% หรือคิดเป็นมูลค่า 969 ล้านบาท และ 2,152 ล้านบาท
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 7,595 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายบริหารงาน 3,430 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (หนี้สูญ 376 ล้านบาท และหนี้สงสัยจะสูญ 3,016 ล้านบาท เท่ากับ 3,392 ล้านบาท และต้นทุนทางการเงิน 773 ล้านบาท
โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) ลดเหลือ 31.0% เนื่องจากการลดกิจกรรมการตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวม (NPL) ภายใต้มาตรฐานใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 6.6% เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม (ยอดลูกหนี้การค้ารวม) เท่ากับ 83,486 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 3.5 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 3.8% แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,605,461 บัตร เพิ่มขึ้น 8.3% เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม (ยอดลูกหนี้บัตรเครดิต) 53,242 ล้านบาท
ด้านปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร 90,613 ล้านบาท ลดลง 9.6% เอ็นพีแอลบัตรเครดิตตามมาตรฐานใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 5.6% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อส่วนบุคคลเคทีซี (รวมสินเชื่อธนวัฏและสินเชื่อเจ้าของกิจการ) เท่ากับ 932,112 บัญชี ลดลง 7.1% จากการปิดบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว และเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม (ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคล) อยู่ที่ 30,244 ล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลสินเชื่อบุคคลตามมาตรฐานใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 8.5%
ทั้งนี้เป็นผลจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนขึ้นเมื่อรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ตั้งแต่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลกระทบต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงของการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เมื่อเริ่มผ่อนคลายปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่พอร์ตลูกหนี้ของบริษัทยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.3% และยังคงความสามารถในการหารายได้และการสร้างผลกำไร พร้อมกันที่บริษัทยังควบคุมค่าใช้จ่ายทางการเงินได้ดีมีรายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
“ที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการช่วยเหลือด้านสินเชื่อให้กับลูกหนี้ เพื่อสนับสนุนมาตรการของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ได้แก่ 1.ปรับลดอัตราผ่อนชำระของบัตรเครดิตจากเดิม 10% เหลือ 5% ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 – 2564 ร้อยละ 8 ในปี 2565 และร้อยละ 10 ในปี 2566 เป็นต้นไป
ส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคล “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) ปัจจุบันได้รับอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ 3% ซึ่งอยู่ในแนวทางการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว 2) ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว การเลื่อนชำระค่างวดหรือเงินต้น การลดค่างวด เป็นต้น
โดยขยายเวลาการให้ความช่วยเหลือไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยมีกลุ่มลูกหนี้เข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เท่ากับ 4,000 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 300 ล้านบาท และมียอดลูกหนี้ที่ขอพักชำระหนี้ 99 ราย และ 3) ปรับลดเพดานดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินใหม่ ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป”
นายระเฑียรกล่าวว่า ประเมินว่าหากเหตุการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ส่งผลถึงระดับที่รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณามาตรการที่เข้มข้นมากอีก เชื่อว่าไตรมาส 2 จะเป็นช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบด้านคุณภาพสินทรัพย์มากที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้การดำเนินธุรกิจของบริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ความสามารถในการชำระหนี้ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
อีกทั้งการประกาศใช้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธปท. ในระยะที่ 2 ที่ปรับลดเพดานดอกเบี้ยทั้งธุรกิจบัตรเครดิต 2% และธุรกิจสินเชื่อบุคคล 3% ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
ดังนั้นนักลงทุนไม่ควรนำผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกมาเป็นฐานในการประมาณการผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามฝ่ายจัดการจะปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจให้ตอบสนองต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งของเศรษฐกิจและของอัตราดอกเบี้ยรับที่ลดลง โดยจะให้ความสำคัญกับการขยายตัวของสินเชื่อ “พี่เบิ้ม” ในส่วนที่เป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน อาทิ สินเชื่อจำนำทะเบียนทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ควบคู่กับการขยายสินเชื่อ “พิโก้ ไฟแนนซ์” และ “นาโน ไฟแนนซ์” ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีโอกาสสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว”