“อาคม” แนะการยาสูบฯ ผลิตบุหรี่พรีเมียม สู้บุหรี่นอก

ยสท. ขอคลังคงภาษี 2 อัตราไว้ ป้องกันปัญหาขายบุหรี่แพง เพื่อนำเงินมาจ่ายภาษี ชี้ “รมว.คลัง” แนะออกบุหรี่พรีเมียมสู้บุหรี่นอก หนุน ยสท. มีรายได้เพิ่ม พร้อมเดินหน้าพัฒนากัญชง-กัญชา หลังคลังเปิดทาง คาดปีงบ’64 กำไรพุ่ง 1.2 พันล้านบาท

นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอแนะให้โรงงานยาสูบหันไปผลิตบุหรี่ระดับบุหรี่พรีเมียม เพื่อสู้กับบุหรี่ต่างประเทศ และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับ ยสท. หลังจากที่ ยสท. ได้เข้าไปหารือกับ รมว.คลัง เรื่องการปรับปรุงโครงสร้างภาษียาสูบบางส่วน รวมทั้งการคงระบบภาษีไว้ที่ 2 อัตรา ตามโครงสร้างภาษียาสูบในปัจจุบัน ก่อนจะต้องกลับมาใช้ระบบภาษีอัตราเดียว คือ อัตรา 40% ไม่ว่าราคาขายปลีกจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม

ภาณุพล รัตนกาญจนภัทร
ภาณุพล รัตนกาญจนภัทร

“หากใช้ระบบภาษีอัตราเดียว โรงงานยาสูบจะไม่สามารถอยู่ได้ เพราะในปัจจุบันโรงงาน มีกำไรต่อซองเพียง 67 สตางค์ จากก่อนที่จะใช้ระบบภาษียาสูบใหม่ ที่มีกำไร 7 บาท/ซอง นอกจากนี้หากใช้ระบบภาษีอัตราเดียว คือ ในอัตรา 40% โรงงานยาสูบจะขายบุหรี่ในราคาแพงเพื่อนำเงินมาจ่ายภาษี และไม่สามารถแข่งขันกับบุหรี่นำเข้าได้ เพราะแม้ตัวบุหรี่นำเข้าอาจจะขาดทุนหรือมีกำไรลดลง แต่บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ สามารถนำกำไรที่ได้จากการขายในประเทศอื่นๆ มาชดเชยได้”

ทั้งนี้ จากการที่ราคาบุหรี่ภายในประเทศปรับสูงขึ้นจากผลของการขึ้นภาษี ทำให้บุหรี่เถื่อน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอัตราการจับบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นถึง 30% จากเดิม 9% แต่จำนวนคนสูบบุหรี่ยังคงเดิมที่ 10.7 ล้านคน

สำหรับผลประกอบการในปี 2563 ณ สิ้นปีงบประมาณในเดือน ก.ย. โรงงานยาสูบมียอดขาย 17,000 ล้านม้วน มีกำไรสุทธิ 593 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่โรงงานยังคงมีกำไร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นมากถึง 200-300 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2564 คาดว่าจะมีกำไร 950-1,200 ล้านบาท และมียอดขายประมาณ 18,000 ล้านม้วน

ขณะที่ในเรื่องการวิจัย พัฒนา กัญชา และกัญชง และลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับเอกชนเพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ กระทรวงการคลังได้เห็นชอบในหลักการต่าง ๆ แล้ว แต่ทั้งนี้ต้องผ่านการอนุมัติของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขก่อนโรงงานของ กยท.ถึงจะสามารถทำเอ็มโอยูกับบริษัทเอกชนเพื่อผลิตและวิจัยได้

“หากอนุมัติให้โรงงานสามารถปลูกพืชทั้งสองชนิดได้ โรงงานจะดำเนินการให้ชาวไร่ยาสูบ ปลูกในปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้สามารถขายผลผลิตได้ในปลายปีงบประมาณ ซึ่งจะทำให้ชาวไร่ยาสูบมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันที่ชาวไร่ยาสูบปลูกใบยา ได้รายได้ประมาณ 23,000 บาท/ไร่ เพิ่มเป็น 200,000-500,000 บาท/ไร่ ในกรณีปลูกพืชดังกล่าว”

นอกจากนี้ จะเปิดให้ประชาชนทั่วไป ไม่ใช่เพียงเกษตรกรเท่านั้น สามารถมาลงทะเบียนเพื่อเป็นผู้ปลูกกัญชาและกัญชงได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้กำหนดคุณสมบัติที่ชัดเจนว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมบ้าง