MTC ขายหุ้นกู้ 5 พันล้านบาท เกลี้ยง! มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า +20-25%

ภาพประกอบข่าว MTC

MTC ฮอต! นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นกู้ครบวงเงิน 5 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มผลดำเนินงานช่วงโค้งสุดท้ายยังสดใส หนุนผลงานปีนี้เข้าเป้า +20-25% เผยความพร้อมตั้งสำรองคุมหนี้เสียไม่เกิน 2%

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่า 5 พันล้านบาท แบ่งเป็น 2 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 11 เดือน 7 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2565 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี  ขณะที่ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 11 เดือน 19 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2566 อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี โดยได้เสนอขายเมื่อวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2563 ทั้งนี้ ผลปรากฏว่า นักลงทุนให้การตอบรับอย่างคึกคัก สามารถขายได้ครบทั้งจำนวน ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรอยู่ที่ BBB+ และหุ้นกู้จัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB+

“ผลตอบรับจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อ MTC เป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ชุดเดิมในต้นปีหน้า และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อย่างไรก็ตามภายหลังการเสนอขายส่งผลให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น สามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายปริทัศน์ กล่าว

นายปริทัศน์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังคงมีทิศทางที่ดี และจะช่วยสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 20-25%  โดยบริษัทฯ ยังคงเน้นกลยุทธ์ไปที่ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การจัดการต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยรักษาส่วนต่างผลตอบแทน (Spread) ให้คงที่ โดยเงินทุนใหม่ของบริษัทฯ บางส่วนมาจากเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และบางส่วนมาจากการออกหุ้นกู้มีต้นทุนที่ถูกลงกว่าหุ้นกู้เดิม

ทั้งนี้ คาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากความต้องการในการลงทุนในบริษัทฯที่มีเรทติ้งระดับ BBB+ ในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ คาดหวังว่า ต้นทุนทางการเงินในช่วงปลายปีนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว

ขณะที่การคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 9 (TFRS9) ให้เหมาะสม และเพียงพอต่อความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ โดยจะคุมหนี้เสียไว้ไม่เกินระดับ 2% ตามเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้  ตลอดจนการเร่งผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวและเพื่อสร้างการได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Edge) เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่สำคัญ

อนึ่ง ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.07 % จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,080 ล้านบาท และยังคงทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง 66,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น คิดเป็น 16.22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 57,647 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อเติบโตได้ดีเนื่องจากความต้องการฟื้นตัวหลังเข้าสู่การเปิดเทอมใหม่ และฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร


ขณะที่คุมต้นทุนการเงินได้ดี เดินหน้าเพิ่มสาขาเป็น 4,798 สาขา ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 10,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.43% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้สุทธิเท่ากับ 9,233 ล้านบาท