หุ้นบวก 12.56 จุด ตามทิศทางภูมิภาค อานิสงส์แรงซื้อสถาบัน-ต่างชาติ

ภาพประกอบข่าว Global Investment - Technology Investment

นักลงทุน ‘สถาบัน-ต่างชาติ’ ซื้อสุทธิหุ้นไทยรวมมูลค่า 1.3 พันล้านบาท หนุน SET Index พลิกกลับมาเป็นบวก 12.56 จุด สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ‘IRPC-TMB’ รีบาวด์!

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยประจำวันที่ 1 ธ.ค.63 ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ปิดบวกที่ 1,420.87 จุด ปรับขึ้น 12.56 จุด หรือปรับขึ้น 0.89% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 78,416.50 ล้านบาท โดยปรับขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ได้แก่ ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับขึ้นราว 1% และตลาดหุ้นยุโรปปรับขึ้นราว 0.9%

โดยหุ้นที่ปรับขึ้นนำตลาดมากที่สุดเป็นหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่ถูกขายลดความเสี่ยงจากความกังวลการปรับน้ำหนักของดัชนี MSCI (MSCI Rebalancing) วานนี้ (30 พ.ย.) เช่น IRPC และ TMB เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนสถาบันมียอดซื้อสุทธิ 701.42 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 608.14 ล้านบาท ส่วนกลุ่มนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,048.65 ล้านบาท และในประเทศขายสุทธิ 260.91 ล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มของ SET Index ในระยะถัดไป ประเมินว่านักลงทุนยังติดตามปัจจัยหนุนใหม่ๆ ที่จะเข้ามากระทบตลาดหุ้น โดยให้น้ำหนัก 2 ปัจจัยสำคัญทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ การตัดสินคดีบ้านพักทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประเด็นการเลื่อนประชุมโอเปกไปยังวันที่ 3 ธ.ค. ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะถัดไป

ทั้งนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index วันพรุ่งนี้ (2 ธ.ค.) ที่แนวรับ 1,400 จุด ซึ่งตรงกับเส้นค่าเฉลี่ย (EMA) 10 วัน โดยมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับตัวลงทดสอบแนวรับจากปัจจัยกดดันที่แวดล้อมตลาด ขณะที่แนวต้านประเมินไว้ที่ 1,435 จุด

เมื่อสอบถามถึงกลยุทธ์การลงทุน นายวิจิตร กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยยังชื่นชอบกลุ่มหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้นำตลาด ได้แก่ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร โดยในส่วนของกลุ่มพลังงานชื่อชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำ คือ บมจ.ปตท. (PTT) เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากการนำหุ้นบริษัทในเครือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET ได้ภายในปีหน้า

ถัดมา กลุ่มธนาคาร แนะนำซื้อ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ ธนาคารทหารไทย (TMB) เนื่องจากราคาหุ้นยังปรับขึ้นน้อยกว่ากลุ่ม จากความกังวลที่มีสัดส่วนสินเชื่อในพอร์ตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว นอกจากนี้ แนะนำหุ้นเล็กที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก ได้แก่ บมจ.อาร์เอส (RS)


“ตลาดหุ้นอยู่ในขาที่เปิดรับความเสี่ยง (Risk On) โดยเฉพาะหน้าหุ้นใหญ่ที่ได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติ ดังนั้น ในช่วงจังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัวลงมา เรามองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ” นายวิจิตร กล่าว