ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น 3.2 หมื่นล้าน ดันวอลุ่มซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ตลาดหลักทรัพย์ฯ SET

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดภาพรวม SET Index เดือน พ.ย. ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยวันละ 9 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อเป็นเดือนแรก 3.2 หมื่นล้านบาท ‘พลังงาน-แบงก์-ปิโตร’ ฮอตสุด

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย ภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนพฤศจิกายน 2563 ว่า ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 SET Index ปิดที่ 1,408.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.85% จากเดือนก่อนซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดของปี 2563 และปรับเพิ่มขึ้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในเอเชีย นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ (วอลุ่ม) ยังปรับขึ้นสูงสุดเช่นกันประมาณ 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ทั้งนี้ หากพิจารณากลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีกว่า SET Index ได้แก่ หลักทรัพย์ขนาดใหญ่ (SET50 และ SET100) ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และธนาคาร จากการที่ธุรกิจมีความมั่นคงและราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมากในช่วงก่อนหน้าทำให้ได้รับความสนใจโดยเฉพาะจากผู้ลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ ในเดือน พ.ย.เป็นเดือนแรกที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย โดยมียอดซื้อสุทธิที่ 32,506 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) กลุ่มนักลงทุนต่างชาติยังมียอดขายสุทธิ 265,587 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติปรับขึ้นมาอยู่ที่ 38.97% มากที่สุดรองจากสัดส่วนการซื้อขายหุ้นของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่ 40.89%

โดยเชื่อว่ากระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติจะยังไหลเข้าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ที่ผ่อนคลายลงในปัจจุบัน ทั้งวัคซีนป้องกันโควิด-19 และนโยบายของ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ส่งผลให้ผู้ลงทุนอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk on)

“เรียกได้ว่าภาพรวมตลาดหุ้นเดือน พ.ย.กลับมาฟื้นตัวได้เป็นเดือนแรก แตกต่างจากเดือน ต.ค. จากปัจจัยวัคซีนโควิด-19 รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สะท้อนจากจีดีพีไตรมาส 3 ที่ติดลบน้อยลง หากเทรนด์นี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นต่อไป” นายศรพล กล่าว

เมื่อสอบถามถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทและผลกระทบต่อตลาดหุ้น นายศรพล กล่าวว่า เดิมที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลเชิงลบต่อการทำกำไรของธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออกและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัจจุบันที่กลุ่มธุรกิจดังกล่าวไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น คาดว่าค่าเงินบาทจะส่งผลในแง่ของการแปลงค่าเงินในงบบัญชีของบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้ ในระยะถัดไปหากทั้งสองธุรกิจมีกลับมาฟื้นตัว ผู้ลงทุนควรติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจลงทุน

สรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 SET Index ปิดที่ 1,408.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.85% จากเดือนก่อน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดของปี 2563 และปรับเพิ่มขึ้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในเอเซีย และหากพิจารณากลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีกว่า SET Index ในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ หลักทรัพย์ขนาดใหญ่ (SET50 และ SET100) ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และธนาคาร
  • เมื่อพิจารณารายอุตสาหกรรมเทียบกับสิ้นปี 2562 พบว่าหลายอุตสาหกรรมปรับตัวดีกว่า SET Index โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับการส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศ อาทิเช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
  • มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมใน SET และ mai ในเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ 90,084 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยรายเดือนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2563 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมอยู่ที่ 65,917 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกในรอบ 16 เดือน ด้วยมูลค่า 32,506 ล้านบาท (1.08 พันล้าน USD) ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเงินทุนไหลเข้าสูงที่สุดใน ASEAN อีกด้วย ทำให้ใน 11 เดือนแรกของปี 2563 ผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 2.65 แสนล้านบาท จากที่ขายสุทธิ 2.98 แสนล้านบาท ในเดือนก่อนหน้า
  • ในเดือนพฤศจิกายน 2563 มีกิจกรรม IPO อย่างต่อเนื่อง โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 4 บริษัท ใน mai 2 บริษัท ทำให้ใน 11 เดือนแรกของปี 2563 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN
  • Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ระดับ 3 เท่า และ 24.0 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 18.5 เท่า และ 22.2 เท่าตามลำดับ
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ระดับ 00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.50%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 621,620 สัญญา สูงสุดในรอบ 7 เดือน หรือเพิ่มขึ้น 7% จากเดือนก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจาก SET50 Index Futures และ Single Stock Futures เป็นสำคัญ โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2563 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 472,363 สัญญา เพิ่มขึ้น 12.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เพิ่มขึ้นจาก SET50 Index Futures , Gold Online Futures และ Currency Futures