กังวลเงินเฟ้อสหรัฐเร่งตัวกดดันตลาด

คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนมาก โดยปรับแกว่งขึ้นลงในกรอบ 1,550-1,600 จุด หลังไร้ปัจจัยใหม่หนุน บวกกับยังมีแรงกดดันจากสถานการณ์แพร่ระบาดหนักของโควิด-19 ในประเทศรอบใหม่ (ระลอก 3) อย่างไรก็ดี ยังมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ อาทิ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (เหล็ก, ยาง) กลุ่มเดินเรือ กลุ่มการแพทย์ และหุ้นที่งบฯออกมาดี รวมถึงหุ้น DELTA ที่มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอีกครั้ง หลังตลาดหลักทรัพย์ฯไม่แก้หลักเกณฑ์ free float ที่เข้ามาคำนวณในดัชนีทั้ง SET SET50 และ SET100 สร้างความผันผวนของ SET มากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม เข้าสัปดาห์ที่สองของเดือน พ.ค. ดัชนีตลาดหุ้นไทย การปรับฐานเริ่มเห็นชัดขึ้น เช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ทำให้มุมมองที่ผมคาดว่าจะเกิด sell in May มีน้ำหนักมากขึ้น ด้วยปัจจัยกดดันจากความกังวลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่เร่งตัวขึ้น อันเป็นผลจาก

1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดน และ 2) ราคาวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงแรงซื้อเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นอีกตัวเร่งเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อได้ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะขาดแคลนแรงงานในสหรัฐ

ทั้งนี้ ประเด็นความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐที่เร่งตัวขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี กลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง โดยปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดบริเวณ 1.483% ขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1.625% และมีแนวโน้มขึ้นไปทดสอบจุดสูงเดิมที่เคยทำไว้ที่ระดับ 1.78%

สะท้อนถึงตลาดที่มองว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัว จะทำให้เฟดต้องพิจารณาชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรือพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นหลักทั่วโลกเผชิญแรงขายทำกำไรหลังปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้

จากหลายปัจจัยดังกล่าว SET ยังมีความเสี่ยงด้าน downside โดยมีโอกาสลงไปหาบริเวณ 1,500 จุด และมีโอกาสหลุดต่ำกว่าได้เหมือนกันนะครับ หากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับฐานลงแรง ซึ่งกรณีนี้ SET จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,450 1,400 และ 1,350 จุด ตามลำดับ

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ลดพอร์ตก่อนนะครับและถือเงินสดมากขึ้น ส่วนพอร์ตลงทุนแนะนำรอซื้อด้วยน้ำหนักการลงทุน 25% บริเวณแนวรับ 1,500 จุด เพื่อแต้มต่อในการลงทุนที่สูงขึ้นและเก็บกระสุนไว้เพื่อซื้อเพิ่มตามแนวรับที่ 1,450 1,400 และ 1,350 จุด ตามลำดับ ส่วนการเข้าตลาดช่วงนี้เป็นเพียงซื้อขายเก็งกำไร โดยใช้กลยุทธ์ selective buy โดยมีหุ้นน่าสนใจ 5 ตัว ที่ผมอยากแนะนำได้แก่

1) SCC คาด 2Q64 มีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่องทั้งธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างตามอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว และธุรกิจปิโตรเคมีจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อรองรับโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต ด้าน SCBS ปรับประมาณการกําไรปี’64-65 ขึ้น 25% และ 20% ตามลำดับ ราคาเป้าหมายที่ 550 บาท จาก 475 บาท

2) MTC แนวโน้มกำไร 1Q64 ยังเติบโตดีจากการขยายสาขาใหม่แตะระดับ 5 พันแห่ง ด้านแนวโน้มสินเชื่อ 1Q64 ยังเติบโตจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของสินเชื่อทะเบียนรถ แม้ credit cost มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

3) CPW ถือเป็น proxy ของหุ้น Apple ที่โดดเด่นตัวหนึ่ง เนื่องจาก 78% ของยอดขายเป็นสินค้าแบรนด์ Apple ด้านแนวโน้มกำไร 1Q64 จะยังคงเติบโตโดดเด่นตามยอดขายของ Apple ซึ่งหลัก ๆ มาจากยอดขาย iPhone 12 และ iPad ที่ดีต่อเนื่อง

4) NER แนวโน้มกำไรจะทำนิวไฮต่อเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นใน 3Q63 และยังได้อานิสงส์ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของกลุ่มลูกค้ายานยนต์ นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล 4.3 MW รวมถึงการนำเข้าเมล็ดและปลูกกัญชง

5) SFT คาดกำไร 1Q64 จะเติบโต 30%YOY และ 6%QOQ สู่ระดับ 23 ล้านบาท โดยได้ปัจจัยหนุนจากคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูประบบกราเวียร์ของลูกค้าเก่ากลุ่มเครื่องดื่มและเครื่องสำอางที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเนื่องจากเกิดการประหยัดต่อขนาด…แล้วพบกันใหม่ในฉบับหน้า ด้วยรักและหวังดีครับ