คนละครึ่ง เฟส 3 “ง่าย-คุ้มค่า” กว่าเดิมอย่างไร ?

คนละครึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เป็นโครงกระตุ้นกำลังซื้อจากภาครัฐ ที่เป็นการใช้จ่ายแบบ Co-pay โดยรัฐช่วยจ่ายวันละ 150 บาท ผ่านกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ของแอปพลิเคชั่นเป๋าตังจะเปิดลงทะเบียนวันแรก วันที่14 มิ..นี้ ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 . กำหนดคนเข้าร่วมโครงการไม่เกิน 31 ล้านคน

อย่างไรก็ดี ปัญหาการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง จากรอบที่ผ่านมา ที่มีสาเหตุมาจากขั้นตอนขอรับรหัส OTP ทำให้ประชาชนหลายคนอดรับสิทธิเข้าร่วมโครงการ แต่ในรอบนี้กระทรวงการคลัง ยืนยันว่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าว

โดยดร.กุลยา ตันติเตมิทผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ได้มีการประสานงานกับบริษัทผู้ให้บริการ SMS ทั้ง 3 เครือข่าย ให้มีการเตรียมการเพื่อรองรับการส่ง SMS ในช่วงดังกล่าวที่เปิดลงทะเบียนแล้ว คิดว่าจะไม่มีในปัญหาขั้นตอนของ OTP

นอกจากนี้ คนละครึ่ง เฟส 3 ยังเปิดโอกาสให้การลงทะเบียนรอบนี้ คนที่เคยใช้แอปเป๋าตัง และใช้ g-wallet ในโครงการของรัฐแล้ว จะสามารถกดลงทะเบียนจากแอปเป๋าตังได้เลย ซึ่งจะไม่มีขั้นตอนในเรื่องของ OTP เข้ามา  ส่วนการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com จึงจะมีขั้นตอนขอรับรหัส OTP ดังนั้น ระบบน่าจะรองรับได้เพียงพอเพราะในการเปิดลงทะเบียนโครงการเราชนะ ก็สามารถรองรับได้เพียงพอเช่นเดียวกัน

ดร.กุลยา กล่าวอีกว่าคนละครึ่งเฟส 3 ปลดล็อกเงื่อนไขหากไม่ใช้สิทธิภายใน 14 วัน จะโดนตัดสิทธิ คนที่ได้รับสิทธิคนละครึ่งเฟส 3 จะใช้จ่ายผ่านโครงการเมื่อไหร่ก็ได้ หลังจากที่ยืนยันตัวตนแล้ว แต่ถ้าเป็นผู้ที่สมัครใหม่ แล้วได้รับสิทธิ ก็จะต้องยืนยันตัวตนในการใช้ Gwallet ก่อน

พร้อมกันนี้ คนละครึ่ง เฟส 3 ยังออกแบบมาให้คุ้มค่าและใช้ง่ายกว่าเดิม โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีทางเลือกในการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งได้เพิ่มสิทธิให้สามารถใช้จ่ายในส่วนของการบริการได้ด้วย เช่น ร้านนวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะ หรือขนส่งมวลชนสาธารณะได้ รวมทั้ง การลงทะเบียนคนละครึ่ง เฟส3 ไม่ได้จำกัดอาชีพ รวมทั้งผู้รับบำนาญก็สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้

นอกจากนี้ คนละครึ่ง เฟส 3 ยังแบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 รอบ  ซึ่งรอบนี้ 3 เดือนแรก (..-..นี้) รัฐจะโอนเงินเข้ากระเป๋าให้ 1,500 บาท และอีก 3 เดือนที่เหลือ (..-..64) ก็จะโอนให้อีก 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 3,000 บาท โดยวิธีการนี้จะทำให้คนที่ได้รับสิทธิมีเงินในกระเป๋าใช้จ่ายได้ตลอดช่วงครึ่งปีที่เหลือ

ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 1.8 แสนล้านบาท เป็นเม็ดเงินที่มาจากรัฐบาล 9.3 หมื่นล้านบาท และเป็นเม็ดเงินที่มาจากประชาชนอีก 9.3 หมื่นล้านบาท จะสามารถช่วยเหลือพยุง ทิศทางกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ได้ด้วย