เปิดมุมมองขาใหญ่ “เสี่ยป๋อง-เซียนมี่” ลงทุนตลาดหุ้นไทยสู้โควิด

ตลาดหุ้นไทย

เปิดมุมมอง 2 เซียนหุ้นขาใหญ่ “เสี่ยป๋อง-เซียนมี่” ส่องเทรนด์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะข้างหน้า “เซียนมี่” Selective หุ้นไทยมีกำไรโต-ไม่ได้รับผลกระทบโควิด-ทยอยซื้อหุ้นที่ดีมานด์ปีหน้ามาแรงเก็บไว้ ฟาก “เสี่ยป๋อง” ชี้หุ้นขึ้นต่อได้ต้องเป็นหุ้นที่มี “สตอรี่” และได้ประโยชน์ภาครัฐ-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน

 

วันที่ 28 สิงหาคม 2564 นายทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่) นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวในงานสัมมนารวมพลคนทันหุ้นออนไลน์ ในหัวข้อ”เซียนโค่นเซียน สู้หุ้นโควิด”ว่า ผมมองความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย( SET Index) ในระยะนี้คงแกว่งตัวแถวๆ บริเวณ 1,500-1,600 จุด คงไม่ปรับตัวลงแรง เพราะเงินล้นระบบ ทุกคนพยายามแสวงหาผลตอบแทน อย่างไรก็ดีถ้ามองในเชิงลบมากๆ การระบาดโควิดเทียบกับการระบาดทั่วโลก ถ้าปรับตัวขึ้นจะขึ้นเร็ว แต่ถ้าปรับตัวลงจะลงเร็ว เช่น อินเดียใช้เวลาประมาณ 55 วัน จากฐานพุ่งขึ้นจุดสูงสุด และใช้เวลา 51 วัน ปรับตัวลงเร็วไปสู่จุดเดิม ขณะที่ไทยนับช่วงการระบาดโควิดตั้งแต่ 1 มิ.ย.64 ถึงวันนี้เกือบ 90 วัน ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับทรงๆ ตัว เพียงแต่ยังไม่ปรับตัวลงเร็วเหมือนกับประเทศอื่นๆ

 

แต่ข้อดีของไทยตอนนี้เริ่มคลายความกังวลวัคซีนไปมาก เพราะเห็นการทยอยนำเข้าวัคซีนได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหลังกลางเดือน ส.ค.64 ได้วัคซีนไฟเซอร์เข้ามา 1.5 ล้านโดส เดือน ก.ย.64 ได้มาอีก 2 ล้านโดส และต่อไปจะเข้ามาอีก 8-10 ล้านโดส ซึ่งถ้ามาตามนี้จะเป็นผลดีมาก เพราะคุณสมบัติของวัคซีนไฟเซอร์ป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้ดีกว่า ทำให้ในระยะยาวประเทศจะค่อยๆ ดูดีขึ้น

 

โดยส่วนตัวมองเศรษฐกิจไทยดีสุดๆ คงเป็นปี 2565 แต่ราคาหุ้นอาจจะวิ่งไปก่อนเพราะเล่นกันล่วงหน้า เพียงช่วงไตรมาส 3/64 ฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจจะกลับข้างจากปีที่แล้ว จากผลกระทบล็อกดาวน์รุนแรง เพราะฉะนั้นตัวเลขเศรษฐกิจไทย(GDP) และอัตรากำไรต่อหุ้น(EPS) ในไตรมาส 3 ปีนี้ อาจจะขว้างทาง ซึ่งคงแย่มากและคงฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เร็ว เพราะต้องไม่ลืมว่าไตรมาส 4 ปีนี้ยังถูกกดดันจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ยังเป็นฐานสูง

 

รวมไปถึงถ้ามองตลาดหุ้นโลกตัวเลขการระบาดโควิดสายพันธุ์เดลต้าเริ่มกลับไประบาดในสหรัฐอเมริกาอีกรอบ ตัวเลขล่าสุดเกือบ 2 แสนราย และตัวเลขผู้ป่วยห่างจากจุดสูงสุดเพียงแค่ 20% เท่านั้น ดังนั้นคงต้องชั่งน้ำหนักว่าจะเกิดการระบาดเพิ่มขึ้นหรือไม่

 

“ปัจจุบันพอร์ตของผมเป็นพอร์ตหุ้นไทยราว 50% ของพอร์ต แต่พยายาม Selective ตัวที่มีกำไรเติบโตหรือไม่ได้รับผลกระทบโควิดในประเทศไทย ซึ่งช่วงไตรมาส 3/64 ในประเทศดูแย่อาจจะลดน้ำหนักลงทุน แต่ถ้าประเมินว่าดีมานด์ปีหน้าของแต่ละธุรกิจจะกลับมาแรงก็อาจจะทยอยซื้อไว้” เซียนมี่ กล่าว

 

ทั้งนี้สิ่งที่น่าจับตามากที่สุดในการลงทุนหุ้นไทยคือ การระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ และทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์) เพราะช่วงวันศุกร์ที่ 27 ส.ค.64 ที่ผ่านมา เห็นต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยไปกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งบางทีเป็นนัยยะแอบแฝงที่พยายามหาคำตอบมาตลอด ที่ต่างชาติขายหุ้นไทยไป 1 ล้านล้านบาทในช่วงกว่า 8 ปี เทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ที่สลับซื้อขายคละกันไป

 

ดังนั้นถ้ามีนัยยะหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่รู้ว่าถูกใจต่างชาติหรือไม่ จากกระแสข่าวจะเปลี่ยนขั้วว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนทิศทางฟันด์โฟลว์ได้ตั้งแต่ปีนี้ และปี 65 เป็นการนับถอยหลัง เพราะช่วงต้นปี 66 จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งใหม่

 

นายวัชระ แก้วสว่าง(เสี่ยป๋อง) นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ผมมองภาพ SET Index ในระยะข้างหน้าเป็นบวก โดยเห็นสัญญาณตั้งแต่สัปดาห์ก่อนเริ่มมีแรงซื้อกลับดันดัชนีค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาทะลุ 1,600 จุด ซึ่งเป็นการยืนยันสัญญาณขาขึ้นของ SET Index ในระยะกลางถึงระยะยาว จากบรรยากาศของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศลดลง การฉีดวัคซีนคืบหน้าไปมากขึ้น จากปัจจุบันคนไทยฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 30 ล้านโดส นอกจากนี้กรณีผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมากระตุ้นให้รัฐบาลกู้เพิ่ม 1 ล้านล้านบาท เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ ทำให้นักลงทุนบางรายจากที่เคยขายออกไปก็เริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยรอบใหม่

 

“ผมลดพอร์ตไป 50% ช่วงที่ดัชนีหลุดระดับ 1,585 จุด เพราะมองว่าจะปรับตัวระยะสั้น เพียงแต่ไม่ได้ลดพอร์ตทั้งหมด ถือหุ้นตัวที่มั่นใจเอาไว้ แม้ว่าจะย่อตัวลงไปลึกก็ไม่ได้ทำอะไร แต่พอปรับตัวขึ้นมาเลยเส้น 50 วัน ก็ใช้วิธีเดิมกลับเข้ามาซื้อหุ้นส่วนที่เหลือคืน ซึ่งซื้อถูกช่วง SET ระดับ 1,500 กลางๆ” เสี่ยป๋อง กล่าว

 

ปัจจุบันหุ้นกลุ่ม Re-opening น่าจับตาเพราะปรับลงมาหนัก และถ้าเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้ทุกอย่างเชื่อว่าปีหน้าคงกลับมาเหมือนเดิม แต่ในช่วงรีบาวนด์จะเด้งจากหุ้นที่ย่อตัวลงหนักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นแบงก์, สนามบิน, พลังงาน, ปิโตรเคมี เหมือนกับความเชื่อมั่นกลับหนุนหุ้นที่ย่อลงไปกลับขึ้นมา แต่หลังจากนี้คงต้องตามสถานการณ์ว่าภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นอะไรบ้าง และหมวดไหนจะได้ประโยชน์ ซึ่งจากนี้ไปหุ้นที่จะขึ้นต่อได้คือหุ้นที่มีสตอรี่ ซึ่งมี 2 กระแสคือ ได้ประโยชน์ภาครัฐ, ได้ประโยชน์จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

 

“ธีมปีหน้ามีหลายกระแส ทั้งเมกะเทรนด์อีวี (EV) รักษ์โลก, หรือเกี่ยวกับโลจิสติกส์, ทำงานที่บ้าน(WFH) หรือพวกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งต้องติดตามว่าหมวดไหนจะโตได้ต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ในประเทศไทยกลุ่มที่จะดึงดูดชาวโลกมาได้ก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มท่องเที่ยว เพราะมีจุดขายตรงนั้น ส่วนเขตพื้นที่พิเศษ EEC เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ถ้ามีคนเข้ามาลงทุนมากขึ้นน่าจะยิ่งช่วยหนุนได้ดีมากขึ้นไปด้วย” เสี่ยป๋อง กล่าว