TIPH ลุยลงทุน 3 ธุรกิจเป้าหมาย เข้าถือหุ้นเกิน 50% ชัดเจนอีก 6 เดือน

“ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์”(TIPH) ลุยลงทุน 3 ธุรกิจเป้าหมาย “บริษัทสำรวจอุบัติเหตุ-โบรกเกอร์ประกันภัย-บริษัทดิจิทัลหรือสตาร์ตอัพ” คาดเข้าถือหุ้นมากกว่า 50% รอความชัดเจนอีก 6 เดือน แย้มปักธงสู่บริษัทชั้นนำอาเซียน

ดร.สมพร สืบถวิลกุล
ดร.สมพร สืบถวิลกุล

วันที่ 8 กันยายน 2564 ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH แถลงข่าวภายหลังเมื่อวันที่ 7 ก.ย.64 ได้ฤกษ์ดีนำหุ้น TIPH เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เป็นวันแรกแทนหุ้นทิพยประกันภัย(TIP) ซึ่งได้ปรับเป็นบริษัทลูก โดยวางแผนการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

กลุ่มแรก ธุรกิจประกันวินาศภัย, กลุ่มที่สอง กลุ่มธุรกิจประกันชีวิต, กลุ่มที่สาม กลุ่มธุรกิจอื่นๆ

โดยกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ การขยายธุรกิจประกันวินาศภัยภายในประเทศไทย, การขยายธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย และการขยายธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตในต่างประเทศ ทั้งนี้ธุรกิจประกันวินาศภัยจะมีบริษัททิพยประกันภัยเป็นธุรกิจหลักอยู่ในขณะนี้ ส่วนธุรกิจประกันชีวิตจะมีบริษัททิพยประกันชีวิตซึ่งถือหุ้นโดยตรงจากทิพยประกันภัย

และในส่วนของธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตในต่างประเทศ ขณะนี้ได้เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาวแล้ว และกำลังศึกษาเพิ่มเติมในการที่จะนำบริษัทไปจัดตั้งหรือร่วมทุน(JV) ในประเทศต่างๆ ในแถบประเทศอาเซียน อาทิ กัมพูชา, เมียนมา, เวียดนาม, สิงคโปร์ เป็นต้น

ทั้งนี้ภายใต้โครงสร้าง TIPH ธุรกิจหลักยังคงเป็นธุรกิจประกันภัยที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 75% ของทรัพย์สินรวมของกลุ่ม ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือกลุ่มประกันภัยอาจจะขยายการลงทุนไปในอนาคตในสัดส่วนไม่เกิน 25% แต่ต้องเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจหลักและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ TIPH ด้วย

ดร.สมพร กล่าวต่อว่า ในส่วนแผนการขยายธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทจะจัดตั้งหรือเข้าซื้อกิจการที่ประกอบธุรกิจสนับสนุนธุรกิจประกันภัย 2-3 ธุรกิจ ซึ่งจะมีความชัดเจนภายใน 6 เดือน โดยบริษัทที่จะเข้าลงทุนได้แก่ บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจอุบัติเหตุ, บริษัทที่เกี่ยวกับการเป็นตัวกลางประกันภัย(โบรกเกอร์ประกันภัย) และบริษัทที่เน้นการทำเรื่องดิจิทัลหรือแม้แต่บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากมองว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem)

โดยทั้ง 3 ธุรกิจนี้ TIPH จะเข้าถือหุ้นมากกว่า 50% ซึ่งทำให้รับรู้รายได้เข้ามาได้ทันทีหลังการเซ็นสัญญา ส่วนการตั้งบริษัทประกันภัยใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยเพื่อรองรับการแยกหน่วยธุรกิจที่มีศักยภาพของบริษัทในกลุ่มออกเป็นบริษัทใหม่ (Spin-Off) คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 1 ปี และยังมีแผนในการขยายธุรกิจไปยังบริษัทสตาร์ตอัพใหม่ๆ ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยด้วย

“ภายหลังที่มีการปรับโครงสร้างบริษัทเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อนักลงทุนทำให้หุ้นของบริษัทเป็นทั้งหุ้นเติบโต(Growth Stock) และหุ้นยั่งยืน (Sustainable Stock) เนื่องจากมีโอกาสในการลงทุน และขยายธุรกิจได้มากขึ้น ทำให้สัดส่วนรายได้มีความหลากหลาย แตกต่างจากอดีตที่รายได้จะมาจากเบี้ยประกันภัยรับและการลงทุนเท่านั้น และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในครั้งนี้จะเป็นการลดข้อจำกัดด้านการลงทุนของบริษัท ทำให้หุ้นของบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุน ส่งผลให้เป็นทั้งหุ้นปันผลและหุ้นเติบโตดี” ดร.สมพร กล่าว

“เรามีวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจประกันภัยชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน และมั่นใจว่าจากการที่มีผู้ถือหุ้นเดิมคอยสนับสนุนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและโอกาสให้กับ TIPH ได้ ทั้งนี้เชื่อว่าเราจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าของเราด้วย” ดร.สมพร กล่าว