บลจ.ไทยพาณิชย์ ประกาศจ่ายปันผล 8 กองทุนรวดในเดือนเดียว

บลจ.ไทยพาณิชย์ ประกาศจ่ายปันผล 8 กองทุนรวดในเดือนเดียว

บลจ.ไทยพาณิชย์ ประกาศจ่ายปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งกองหุ้นไทย-หุ้นนอก รวม 3 กองทุน เมื่อวันที่ 21 ต.ค.64 ที่ผ่านมา ทั้งนี้เตรียมจ่ายปันผลเพิ่มอีก  5 กองทุน ในวันนี้ 26 ต.ค.64 รวมทั้งหมด 8 กองทุน 

วันที่ 26 ตุลาคม 2564 นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้จ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศรวม 8 กองทุน โดยกำหนดจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 26 ต.ค. 2564 จำนวน 5 กองทุน แบ่งเป็น

งวดผลการดำเนินงานระหว่าง 1 ต.ค. 2563 –  30 ก.ย. 2564 จำนวน 2 กองทุน 

  • SCBGPROP (ชนิดจ่ายเงินปันผล) กำหนดจ่ายในอัตรา 0.7773 บาท มีการจ่ายระหว่างกาลแล้ว 2 ครั้ง เมื่อ 5 พ.ค. 2564 และ 21 ก.ค. 2564 จำนวน 0.2500 บาท และ 0.1145 บาทตามลำดับ เหลือจ่ายงวดนี้ 0.4128 บาท (ครั้งที่ 11) รวมจ่ายปันผลแล้ว 1.7905 บาทต่อหน่วย
  • SCBNK225D  (ชนิดจ่ายเงินปันผล) กำหนดจ่ายในอัตรา 0.9184 บาท มีการจ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 จำนวน 0.2854 บาท เหลือจ่ายงวดนี้ 0.6330 บาท (ครั้งที่ 14) รวมจ่ายปันผลแล้ว 4.4971 บาทต่อหน่วย

จากภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งผลให้การลงทุนในตลาดโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังคงมีการขยายตัวได้ดี ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์การเงินของกลุ่มนี้มีความแข็งแกร่งอย่างมากเนื่องจากมีระดับหนี้สินค่อนข้างต่ำ รวมถึงภาวะดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่ยังอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้สินทรัพย์กลุ่มนี้มีความน่าสนใจในการลงทุน ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว

อีกทั้งยังมีสัดส่วนของรีท (REIT) ในกลุ่มระบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) สูงกว่า 50% ทำให้มีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับค่อนข้างสูง และในส่วนของตลาดหุ้นญี่ปุ่นมองว่า หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกล่าสุดได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลบวกต่อการเปิดเมืองอย่างเต็มรูปแบบ เป็นการช่วยผลักดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การบริโภคภายในประเทศได้เป็นอย่างดี โดยตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดพัฒนาแล้วเพียงประเทศเดียวที่ยังคงมีความล่าช้าในการเปิดเมือง ทำให้ผลตอบแทนของตลาดยังไม่ฟื้นตัวมากนักเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาอื่น

ประกอบกับความมีเสถียรภาพทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาด โดยให้การสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลัง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มช้ากว่าประเทศอื่น ในขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดหุ้นโลก

นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส

ผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 2564 – 30 ก.ย. 2564 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่

  • SCBLEQ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) กำหนดจ่ายในอัตรา 0.3977 บาท (ครั้งที่ 10) รวมจ่ายปันผลแล้ว 2.1363 บาทต่อหน่วย
  • SCBLEQ-SSF (ชนิดเพื่อการออม) กำหนดจ่ายในอัตรา 0.2800 บาท
  • SCBLTSEA-2020 (ชนิดจ่ายปันผล-2020) กำหนดจ่ายในอัตรา 0.0100 บาทต่อหน่วย

จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนแล้วเมื่อ 21 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2563 – 30 ก.ย. 2564 ได้แก่

  • SCBPMO (ชนิดจ่ายปันผล)  กำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 1.200 บาท (ครั้งที่ 6) รวมจ่ายปันผลแล้ว 4.8200 บาทต่อหน่วย

ผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 2564 – 30 ก.ย. 2564 ได้แก่

  • SCBEQ-SSFX (ชนิดเพื่อการออมพิเศษ) กำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 0.1000 บาท (ครั้งที่ 2) รวมจ่ายปันผลแล้ว 0.9000 บาทต่อหน่วย
  • SCB70-SSFX (ชนิดเพื่อการออมพิเศษ)  กำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 0.1000 บาท (ครั้งที่ 2) รวมจ่ายปันผลแล้ว 0.7000 บาทต่อหน่วย

นางนันท์มนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า  ในส่วนของตลาดหุ้นไทยจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในการเปิดประเทศได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในต่างประเทศที่เป็นตัวสนับสนุนต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย

นอกจากนี้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มออกจากเอเชียเหนือโดยเฉพาะประเทศจีนจากความกังวลเรื่องมาตรการควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่จากภาครัฐ ทำให้กลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคอาเซียนก็เป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การลดวงเงินเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐอาจจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนชั่วคราวได้ แต่ก็คาดว่าจะไม่สร้างความกังวลต่อนักลงทุนมากนัก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐได้มีการสื่อสารให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง


อย่างไรก็ตามราคาหุ้นในปัจจุบันก็ได้สะท้อนถึงปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้วนอกจากนี้ เรื่องของสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่อาจจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองในประเทศ อาจเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นได้