ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเฟดส่งสัญญาณปรับแผน “ลด QE-ขึ้นดอกเบี้ย” เร็วขึ้น

จับตาวันนี้!  ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเฟดอาจส่งสัญญาณปรับทิศทางนโยบายการเงินแบบตึงตัวเร็วขึ้น ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้

วันที่ 15 ธันวาคม 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) วันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ว่า ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังคงเร่งตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าเฟดอาจพิจารณาปรับแผนลดวงเงิน QE ในอัตราที่เร่งขึ้นกว่าเดิม และมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปีที่ 6.8% ต่อปี (YOY) ซึ่งท่ามกลางปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานและปัญหาขาดแคลนแรงงานในสหรัฐที่ไม่น่าจะคลี่คลายลงในระยะเวลาอันใกล้ ทำให้มองว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะข้างหน้า ในขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐก็มีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ คาดว่าเฟดคงเผชิญแรงกดดันให้ถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินเป็นแบบตึงตัวเร็วกว่าขึ้นกว่าเดิม โดยเฟดอาจพิจารณาปรับแผนลดวงเงิน QE ในอัตราที่เร่งขึ้นเพื่อให้วงเงิน QE ทั้งหมดสิ้นสุดลงเร็วกว่าเดือน มิ.ย. 2566 ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า อีกทั้งเฟดอาจเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าเฟดคงจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่อาจมีเพิ่มเติมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน รวมถึงอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มที่จะชะลอลง ประกอบกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐที่กลับมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากประเด็นไต้หวัน

ดังนั้น เฟดคงต้องประเมินความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ในการพิจารณาจังหวะที่เหมาะสมในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า โดยหากเฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่ควรนอกจากจะสร้างความผันผวนมากขึ้นในตลาดเงินตลาดทุนแล้ว ยังอาจยิ่งบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในภาวะที่ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่ได้หมดไป อีกทั้งยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาขีดจำกัดในฝั่งอุปทาน

อาทิ การขาดแคลนแรงงานและความแออัดในท่าเรือของสหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ทั้งนี้ ต้องติดตามประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ย นโยบาย (Fed Dot Plot) ที่เฟดจะเผยแพร่ในการประชุมวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับประมาณการเงินเฟ้อสูงขึ้นให้สอดคล้องกับภาวะที่เกิดขึ้น ประกอบกับมีความเป็นไปได้ที่ Fed Dot Plot จะบ่งชี้การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าการแถลงประมาณการครั้งก่อนในเดือน ก.ย. 2564 โดยอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 2 ครั้งในปีหน้า

อย่างไรก็ดี เฟดมีแนวโน้มที่จะยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังและคงไม่ปรับประมาณการเงินเฟ้อสูงกว่าที่ควร เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะส่งสัญญาณการปรับทิศทางนโยบายการเงินเป็นแบบตึงตัวเร็วกว่าที่ตลาดคาดอันจะก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินได้