เช็คผลตอบแทนคริปโทฯ อีเธอร์เรียมดิ่งสุด-เหรียญ Kub บวกขึ้น 1.90%

แบงก์ชาติรัสเซีย เสนอรัฐบาลห้ามเทรดและขุดเหมืองคริปโท
FILE PHOTO: REUTERS/Dado Ruvic/Illustration/File Photo

สำนักงานก.ล.ต. เผยข้อมูลตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรายสัปดาห์ (7 ก.พ.65) พบว่าตลาดสินทรัพย์ดิริทัลมูลค่าทั่วโลกอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซื้อขายต่อวัน 84.87 พันล้านดอลลาร์ ด้านผลตอบแทนคริปโทเคฯ “อีเธอร์เรียม” ติดลบหนักสุด 17.58% ตาม”บิตคอยน์ – XPR” มีเพียงเหรียญ Kub ที่บวกขึ้นมา 1.90%  

วันที่  12 กุมภาพันธ์ 2565  สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่า  ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกมีมูลค่าตาม Market cap. หรือ มูลค่าตามราคาตลาด อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีมูลค่าการซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 84.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน

โดยสินทรัพย์ดิจิทัลที่มี Market Cap. สูงสุดนำโดยบิตคอยน์ (Bitcoin) 41.44% ตามด้วยอีเธอร์เรียม (Ethereum) 18.67% และ ธีเทอร์ (Tether) , บีเอ็นบี (BNB) และ USD Coin มี Market Cap. อยู่ที่ 3.90% , 3.59% และ 2.56% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 7 ก.พ.65)

ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) พบว่าผลตอบแทนถ่านหิน (Coal) สูงสุดในแอสเซทคลาส อยู่ที่ 35.55% ตามด้วยน้ำมัน (Oil) 18.61% และอลูมิเนียม (Aluminium) 11.67%

ขณะที่คริปโทเคอร์เรนซี อย่าง อีเธอร์เรียม ติดลบหนักสุดในแอสเซทคลาส 17.58% ตามด้วย Nasdaq 100 ติดลบ 10.49% ส่วนบิตคอยน์ และ XPR  ติดลบ 4.58% และ 3.29% ตามลำดับ ส่วนคริปโทฯ มีเพียงเหรียญคับ (Kub) ที่บวกขึ้นมา 1.90% ด้านดัชนีหุ้นไทย (SET) ก็บวกขึ้นมาอยู่ที่ 0.42% รวมถึงทองคำบวก 0.32%

ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีบางช่วงที่ผลตอบแทนของ บิตคอยน์และอีเธอร์เรียม และดัชนีหุ้นไปในทิศทางเดียวกันดังนั้นการลงทุนใน เหรียญทั้ง 2 ประเภท จึงไม่ได้ช่วยกระจายความเสี่ยงได้เสมอไป และพบว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงขึ้น และมีมูลค่าซื้อขายสะสมแยกประเภทของสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างกระจายตัว

อย่างไรก็ตามในปี 2565 พบว่ามูลค่าซื้อขายสะสมแยกตามประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลพบว่าค่อนข้างกระจายตัวโดยเหรียญคับ (Kub) มีสัดส่วนการซื้อขายสูงสุดบนเว็บเทรด หรือ Exchange ของไทยมีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 20.69% ตามด้วยธีเทอร์ (Tether) 19.03% ขณะที่บิตคอยน์และอีเธอเรียม มีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 15.14% และ 11.94% ตามลำดับ

ทั้งนี้พบว่ามูลค่าซื้อขาย (ณ 7 ก.พ.65) มีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากบุคคลธรรมดาในประเทศสูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้มีจำนวนบัญชีซื้อขายอยู่ที่ 2.63 แสนบัญชี  โดยในเดือนก.พ.บุคคลธรรมดาในประเทศและนอติบุคคลต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 2.3 หมื่นในขณะที่บุคคลธรรมดาต่างชึมียอดขายสุทธิอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท