เปิดโผ บจ.จ่ายปันผลรอบปี 2564 สูงสุด 5 อันดับแรก “บล.กรุงศรี” เผย “STGT” แชมป์ 17.9% ขณะที่ “BANPU-BCP” ปันผล 7% ธุรกิจพลิกมีกำไร “เอเซีย พลัส” เปิด 5 กลุ่มหุ้นมีแนวโน้มจ่ายปันผลปี 2565 แจ่ม
นายอาทิตย์ จันทร์สว่าง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การจ่ายปันผลรอบผลประกอบการปี 2564 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) 2.บมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO) 3.บมจ.บ้านปู (BANPU) 4.บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และ 5.บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) (ดูตาราง)
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ทั้งนี้ ปกติ STGT จะจ่ายปันผลเป็นประจำทุกไตรมาส โดย 3 ไตรมาสแรกปี 2564 จ่ายไปแล้ว 1.50 บาท, 1.25 บาท และ 1.25 บาท ส่วนไตรมาส 4 คาดว่าจะจ่ายอีก 1.50 บาท รวมทั้งปี 5.3 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน (dividend yield) ราว 17.9% โดยประเมินกำไรไตรมาส 4/2564 จะอยู่ที่ 2,300 ล้านบาท ลดลง 73% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และลดลง 49% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ)
“แต่เนื่องจาก STGT เป็นหุ้นถุงมือยาง ซึ่งในปี 2565 ทิศทางธุรกิจและกำไร กำลังชะลอตัวลงมาก ฉะนั้นปีนี้คงจะไม่เห็นอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง ๆ เหมือนปีที่ผ่านมาแล้ว อาจจะลดลงมาครึ่งหนึ่งเลย โดยปี 2564 นั้นถือเป็นปีที่ดีที่สุดของ STGT แล้ว จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นหนุนดีมานด์ถุงมือยาง แต่เมื่อทุกคนเห็นราคาถุงมือยางปรับตัวดี จึงเพิ่มกำลังผลิตกันออกมามาก ส่งผลให้ซัพพลายล้นตลาด กดดันราคาตกลงและกดดันกำไร STGT ปีนี้หดตัวลง”
ถัดมา TVO ปกติมีนโยบายจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยครึ่งแรกปี 2564 จ่ายไปแล้ว 1.30 บาท และครึ่งปีหลังคาดว่าจะจ่ายอีก 1.20 บาท รวมทั้งปี 2.5 บาท คิดเป็น dividend yield ราว 7.9% โดยธุรกิจปี 2564 กำไรดีมาก จากกลุ่มผู้ผลิตในแถบละตินอเมริกาเกิดปัญหาภัยแล้ง ส่งผลต่อสินค้าถั่วเหลืองหรือข้าวโพดออกมาน้อยกดดันราคาพุ่งสูง ทำให้ TVO ได้ประโยชน์
แต่ปี 2565 สถานการณ์ภัยแล้งคงไม่มากแล้ว แต่โดยรวม ๆ ราคากากถั่วเหลืองจะยังสูงอยู่ ประเมินทิศทางกำไรสุทธิ TVO ทั้งปี 2564 จะอยู่ที่ 2,660 ล้านบาท เติบโต 66% YOY แต่ในปี 2565 คาดว่าจะลดลงมาอยู่บริเวณ 2,000 ล้านบาท และจะจ่ายปันผลเหลือแค่ 2 บาท
ขณะที่ BANPU ปกติมีนโยบายจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้งเช่นกัน ครึ่งแรกปี 2564 จ่ายไป 0.2 บาท ครึ่งปีหลังคาดว่าจะจ่ายอีก 0.6 บาท รวมทั้งปี 0.8 บาท คิดเป็น dividend yield ราว 7% ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 จะอยู่ที่ 9,093 ล้านบาท พลิกกลับมามีกำไรหลังขาดทุน 1,786 ล้านบาท จากราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนในปี 2565 นี้ คาดว่าจะจ่ายปันผลสูงขึ้นจากเดิมอีก อยู่ราว ๆ 1 บาท จากราคาถ่านหินที่ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีการขาดทุนลดลง (edging loss)
ด้าน BCP ก็มีนโยบายจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยครึ่งแรกปี 2564 จ่ายไปแล้ว 1 บาท และครึ่งปีหลังคาดว่าจะจ่ายอีก 1 บาท รวมกันทั้งปี 2 บาท คิดเป็น dividend yield ราว 7% เป็นไปตามภาพรวมกลุ่มโรงกลั่น จากค่าการกลั่นเริ่มกลับมาฟื้นตัว มีการเปิดเมืองผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หนุนผลประกอบการทั้งปี 2564 จะพลิกกลับมามีกำไร 5,600 ล้านบาท หลังขาดทุนปีก่อนหน้ากว่า 6,967 ล้านบาท
ส่วนปีนี้ น่าจะทรงตัว คือฐานกำไรขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันจึงไม่น่าหวือหวามาก คาดการณ์กำไรทั้งปี 5,200-5,600 ล้านบาท จ่ายปันผล 2 บาทเหมือนเดิม
และ PTTGC ที่ประกาศงบการเงินออกมาแล้ว มีกำไรปี 2564 จำนวน 44,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรแค่ 199.61 ล้านบาท ซึ่งมีการจ่ายปันผลตามที่คาดไว้คือ ครึ่งแรกปี 2564 จ่ายไปแล้ว 2 บาท และครึ่งปีหลังจ่ายอีก 1.75 บาท รวมกันทั้งปี 3.75 บาท คิดเป็น dividend yield ราว 6.6%
ส่วนแนวโน้มปีนี้ คงไม่หวือหวาเท่าปีที่แล้ว โดยในงบฯไตรมาส 4/2564 เริ่มเห็นการชะลอตัวลง ประเมินปีนี้จ่ายปันผลต่ำกว่าปี 2564 มองไว้ประมาณ 2.70 บาท ส่วนทิศทางกำไรคาดว่าจะอยู่ที่ 24,000 ล้านบาท ลดลงเกือบ 11%
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในปี 2565 หุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลได้ดี ต้องเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2564 และมีความเสี่ยงจำกัด ได้แก่
1.กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่คาดว่ากำไรปีนี้น่าจะฟื้นตัวจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยหุ้นที่จ่ายปันผลได้ดีต่อเนื่อง คือ ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ประมาณ 6% ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), ธนาคารกรุงเทพ (BBL) จ่ายปันผลได้ในระดับ 3-4%
ถัดมา 2.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หลายบริษัทมีการจ่ายปันผลประมาณ 4-6% ที่น่าสนใจคือ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC)
3.กลุ่มไอซีทีอย่าง บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลได้ระดับ 3-4%
และ 4.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค (DCC)
รวมไปถึง 5.กลุ่มเหล็ก บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) ที่คาดว่าจะจ่ายปันผลอยู่ราว ๆ 8% อย่างไรก็ดี หากผลประกอบการไม่ได้ออกมาตามที่คาดหวังไว้ อาจทำให้ความคาดหวังเงินปันผลได้ลดลง