เงินทุนต่างชาติไหลเข้า หนุนหุ้นไทยต่อเนื่อง

หุ้น
คอลัมน์ : เช็กกระแสหุ้น

ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18 ก.พ.) ทะยานขึ้นมาอยู่ในแดนเหนือ 1,700 จุดได้อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เคยขึ้นมาแล้วตกลงไป

โดยช่วงสัปดาห์ข้างหน้านี้ (21-25 ก.พ.) “วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัว sideway up ในกรอบ 1,700-1,730 จุด ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงได้รับแรงหนุนจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์จากฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้ามา ทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยและตราสารหนี้เยอะมาก รวมกว่า 2 แสนล้านบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน และแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคเอเชีย”

“ซึ่งตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 3.8% ขณะที่ประเด็นความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ตลาดหุ้นไทยไม่ได้กังวลมากนัก แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่นักลงทุนจับตา ส่วนการรายงานผลประชุมเฟด (Fed Minutes) จากการประชุมครั้งล่าสุด (25-26 ม.ค. 2565) ที่เผยแพร่ในวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเฟดเห็นตรงกันว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ ทำให้สัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะยังคงบวกขึ้นต่อไปได้”

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ต้องติดตาม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4/2564 ในวันที่ 21 ก.พ. ซึ่งคาดว่าตัวเลข GDP จะออกมาดีกว่าในไตรมาส 3/2564 เนื่องจากมีการคลายล็อกดาวน์เปิดเมืองมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง หรือเราเที่ยวด้วยกัน ยังเป็นส่วนที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ยุโรปและสหรัฐจะมีการประกาศตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่วันที่ 21-22 ก.พ. จะมีประกาศดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยุโรปและสหรัฐ จากนั้นวันที่ 23 ก.พ. จะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ หรือตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยุโรป

ซึ่งคาดว่าเงินเฟ้อยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง และวันที่ 24 ก.พ. สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน รวมถึงตัวเลข GDP ไตรมาส 4/2564 ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ในต่างประเทศที่นักลงทุนต้องติดตาม

ทั้งนี้ หุ้นที่น่าสนใจในระยะนี้ จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของภาครัฐ โดยมีหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ EA, NEX, BYD, GPSC และ NDR