ไทยประกันชีวิต จับตลาดขายกรมธรรม์ที่ 2 ลูกค้าเก่าใหม่-เคลมโควิดแล้ว 899 ล้าน

ไทยประกันชีวิต

ไทยประกันชีวิตตั้งเป้าปี 2565 จับตลาดขายกรมธรรม์ที่ 2 ลูกค้าเก่าใหม่ โฟกัสกลุ่มครอบครัว-ระดับบน-คนวัยทำงาน ปั้นเบี้ยรับปีแรกโตเกิน 10,270 ล้านบาทจ ากปี 2564 เผยข้อมูลสิ้นปีก่อนจ่ายเคลมโควิดแล้ว 899 ล้านบาท

วันที่ 8 มีนาคม 2565 นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ Thai Life Insurance: TLI เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทได้กำหนดเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเพิ่มขึ้น โดยเน้นการขยายตลาดทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าผ่านการขายกรมธรรม์ที่ 2 หรือ Second Policy รวมถึงการขายแบบทั้งครอบครัวและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เน้นการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าระดับบน หรือกลุ่ม High Net Worth และกลุ่มคนวัยทำงาน

โดยกำหนดเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับจากผลิตภัณฑ์ประเภทคุ้มครองชีวิตเติบโต รวมถึงเน้นการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ผลิตภัณฑ์ประเภทออมทรัพย์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผล หรือ Participating Product (PAR-Product) และสัญญาเพิ่มเติมประเภทต่างๆ

“บริษัทมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล หรือ Personalization ในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle) การพัฒนาบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต รวมถึงการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายต่าง ๆ อาทิ การ Upskill – Reskill ให้กับตัวแทนประกันชีวิต ผสานกับการปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบครบวงจรด้วยระบบดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ จนถึงการปิดการขาย การออกกรมธรรม์ และการชำระเงิน ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานแบบ End-to-End” นายไชยกล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทส่งเสริมให้บุคลากรฝ่ายขายใช้ Digital Tools เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลุ่มแอปพลิเคชั่น MDA Plus ซึ่งจะเป็นกลุ่มแอปพลิเคชั่นที่สนับสนุนการทำงานของตัวแทนประกันชีวิต ทั้งการขาย การรีครูตทีมงาน การบริการลูกค้า และการบริหารทีมงาน หรือการสนับสนุนให้ผู้เอาประกันภัยใช้แอปพลิเคชั่น ไทยประกันชีวิต ซึ่งนอกเหนือจากการดูข้อมูลแบบประกันที่ซื้อไว้ และทำธุรกรรมต่างๆ แล้ว

บริษัทวางแผนที่จะพัฒนาการจัดทำแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านไลฟ์สไตล์ที่เป็นประโยชน์ตามความสนใจของลูกค้า (Interest-based Platform) เพื่อให้แบรนด์ไทยประกันชีวิตได้รับความไว้วางใจจากผู้เอาประกันภัย

สำหรับผลประกอบการในปี 2564 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 10,270.65 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 72,747.72 ล้านบาท อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์อยู่ที่ 88.6% เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว 7,430.64 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 90,451.49 ล้านบาท

“จากข้อมูลเบี้ยประกันภัยรับใหม่ของบริษัท พบว่ากลุ่มสินค้าที่มีเบี้ยประกันภัยรับใหม่สูงสุดในปี 2564 คือ ประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วน 55.1% ของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปีทั้งหมด ขณะที่สัญญาเพิ่มเติม ประกันชีวิตประเภทตลอดชีพ และประกันชีวิตประเภทควบการลงทุนมีสัดส่วน 13.6%,  12.3% และ 7.3% ของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปีทั้งหมดตามลำดับ

อย่างไรก็ดี พบว่าประกันชีวิตประเภทควบการลงทุน และสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ มีอัตราการเติบโตของเบี้ยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มมองหาทางเลือกในการออมเงิน การลงทุนในรูปแบบอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงการมองหาหลักประกันด้านสุขภาพและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล” นายไชยกล่าว

นายไชยกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าในปี 2564 ธุรกิจประกันวินาศภัยบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทไม่มีผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยในรูปแบบ “เจอ จ่าย จบ”(1)

จึงส่งผลให้ค่าสินไหมทดแทนส่วนใหญ่เป็นการให้ความคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ โดยการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 โดยทั่วไปมาจากลูกค้าซึ่งซื้อสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและสัญญาเพิ่มเติมชดเชยรายได้ระหว่างเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของจำนวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนถูกหักกลบด้วยการลดลงของการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลในกรณีอื่น เนื่องจากประชาชนหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ อัตราส่วนการสูญเสีย (Loss Ratio) ที่เกี่ยวข้องกับค่ารักษาพยาบาลยังลดลงจาก 5.8% ในปี 2562 เป็น 5.1% ในปี 2564

โดยสำหรับปี 2563 และปี 2564 การจ่ายเงินผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 มีจำนวน 1.6 ล้านบาท และ 899.6 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 0.04% และ 19.47% ของการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโดยรวมและค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าวตามลำดับ

ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีความมั่นคง โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio: CAR) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ 355.22% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายไชยกล่าวว่า ไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความมั่นคง การบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบรัดกุม การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการพัฒนาประสิทธภาพการทำงานพร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมุ่งเสริมสร้างสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนด้วยการดำเนินกิจกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ตามเป้าหมายการพัฒนาสู่ความยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

หมายเหตุ:

(1) ผลิตภัณฑ์ประเภท “เจอ จ่าย จบ” หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่ผู้เอาประกันจะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินก้อน (Lump Sum) ตามวงเงินที่ได้ทำประกันไว้ หากตรวจพบโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายโดยบริษัทประกันวินาศภัย