หุ้นไทยรับแรงกดดัน “น้ำมัน” ดิ่ง หวังแรงซื้อสถาบันประคองตลาด

หุ้น-ดอลลาร์-ขนส่ง-น้ำมัน

บล.ฟิลลิป ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีแนวโน้มแกว่งตัวออกข้างในกรอบ 1,680-1,695 จุด รับแรงกดดันราคาน้ำมันโลกดิ่งหนักเกือบ 7% สาเหตุคืบหน้าเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน-ล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ 9 วันอุปสงค์น้ำมันหาย บอนด์ยีลด์สหรัฐเกิด Inverted Yield Curve ผลตอบแทนระยะยาวลดลงต่ำกว่าระยะสั้น สัญญาณเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แนะนำหุ้นเด่นวันนี้ “CENTEL-KTC”

วันที่ 29 มีนาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า ดัชนี SET Index จะแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 1,680-1,695 จุด โดยอาจได้รับแรงกดดันจาก 1.การดิ่งลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างหนักเกือบ 7% วานนี้ จากสาเหตุความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ประกอบกับการ Lockdown ประชากรกว่า 25 ล้านคนในเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีนเป็นเวลา 9 วัน เพื่อทำการตรวจหาเชื้อโควิดครั้งใหญ่ อาจทำให้ตัวของอุปสงค์น้ำมันหายไป

ทั้งนี้ด้านแหล่งข่าวต่างประเทศ เปิดเผยว่าการประชุม OPEC+ รอบนี้ในวันที่ 31 มี.ค. 65 มีโอกาสจากที่ประชุมที่จะปรับขึ้นกำลังการผลิตขึ้นเล็กน้อยเป็น 432,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ค. 65 หลังเผชิญแรงกดดันให้เพิ่มกำลังการผลิตจากนานาชาติเพื่อรองรับการคว่ำบาตรรัสเซีย อันเป็นผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

และ 2.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐเกิด Inverted Yield Curve ขึ้นอีกครั้ง ในบอนด์ยีลด์อายุ 30 ปี และ 5 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณที่อาจนำไปสู่การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

โดยวานนี้ Spread ระหว่างบอนด์ยีลด์อายุ 30 ปี และ 5 ปี เกิด Invert ส่วนอายุ 10 ปี และ 2 ปี ปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดต่อเนื่องแตะระดับ 0.13% ใกล้ค่าติดลบมากขึ้น เป็นสัญญาณเตือนว่า Yield Curve กำลังจะเข้าสู่ภาวะผิดปกติที่ผลตอบแทนระยะยาวลดลงต่ำกว่าระยะสั้น ซึ่งเป็น Leading Indicator ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะเข้าสู่การถดถอย (Recession)

ในขณะเดียวกันหากเงินเฟ้อไม่ลดลงจะยิ่งกลายเป็น Stagflation หรือเศรษฐกิจชะลอลง แต่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และธนาคารกลางไม่สามารถใช้โยบายทางการเงินเข้าช่วยเหลือได้

อย่างไรก็ดี การย่อตัวลงแรงของราคาน้ำมัน ในอีกทางหนึ่งกลับเป็นบวกทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง อีกทั้งตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายการทำราคาปิดบัญชี (Window Dressing) ของนักลงทุนสถาบัน จึงน่าจะทำให้มีแรงซื้อช่วยประคองการย่อตัวของตลาดในระดับหนึ่ง

โดยมีปัจจัยน่าติดตามในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ 1.การประชุม กนง. ของไทย และ 2.ตัวเลขเศษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ GDP ไตรมาส 4/64 และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สำรวจโดย ADP

กลยุทธ์การลงทุน ฟิลลิปฯแนะนำลงทุนในธีม 1.หุ้นท่องเที่ยวเปิดเมืองขานรับแนวทางยกเลิก Thailand Pass ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 65 (AOT, CENTEL, ERW, MINT, BDMS, BH) และ 2.หุ้นรับบอนด์ยีลด์สหรัฐทำจุดสูงสุดใหม่ (BLA) และ 3.หุ้นรับสถานการณ์โควิดในประเทศที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสูงขึ้น (BCH, CHG) และ 4.หุ้นกลุ่มเครื่องดื่มรับหน้าร้อน (ICHI, OSP) และ 5.หุ้น Event plays ได้แก่ หุ้นลุ้นการทำ Window Dressing (ADVANC, KBANK) และหุ้นรับงาน COMMART (KTC)

หุ้นเด่นวันนี้คือ CENTEL นโยบายการท่องเที่ยวที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งจะเสนอยกเลิกตรวจ RT-PCR และไทยแลนด์พาส รวมถึงจะประกาศให้ covid เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่ 1 ก.ค. 65 ด้านธุรกิจอาหาร SSSG เป็นบวกในเดือน ม.ค.-ก.พ. ในขณะที่ปีก่อนมีการปิดศูนย์การค้าส่งผลต่อยอดขาย ในปีนี้บริษัทคาดยอดขายจะกลับไปเท่ากับปี 62 โดยเป้า SSSG 10-15% และเปิดเพิ่ม 180-200 สาขา


KTC จากการควบคุมมาตรการ covid ลง จะทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น และส่งผลดีต่อยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรและสินเชื่อของ KTC ให้เติบโตขึ้น ประกอบกับการจัดงาน Commart ซึ่ง KTC เป็นหนึ่งในบัตรที่คงเข้าไปร่วมทำโปรโมชั่น และคาดเป็นอีกปัจจัยในการกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรและสินเชื่อของ KTC ได้อีกทาง