2 อดีตผู้ว่าการ ธปท. “ธาริษา-วิรไท” พาย้อนวิกฤตการเงินปี’40 เผชิญมรสุมค่าเงินบาทแข็งค่า-เครื่องยนต์เศรษฐกิจไม่ทำงาน-ธนาคารกลางขาดความน่าเชื่อถือ เร่งสางปัญหาอัดมาตรการกั้นสำรอง 30% พยุงบาท พร้อมโดนการเมืองแทรกแซง แนะธรรมาภิบาลคือหัวใจสำคัญควบคู่เสถียรภาพระบบการเงิน
วันที่ 5 เมษายน 2565 ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “เหลียวหลัง แลหน้า กับผู้ว่าการ ธปท.” Governor’s Talk ในโอกาสครบรอบ 80 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า นับตั้งแต่ทำงานมา 35 ปี ได้เคยผ่านวิกฤตมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วิกฤตต้มยำกุ้งปี’40 และวิกฤตการเงินโลกในปี’51 โดยวิกฤตในปี’40 มีเรื่องที่ ธปท.ต้องแก้เยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องสร้างผลงานให้ปรากฏ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเวลานั้น
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
โดยตำแหน่ง “ผู้ว่าการ ธปท.” ไม่ว่าเป็นคนไหน ล้วนแต่มีความท้าทายทั้งสิ้น ทั้งสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและการเมือง
ใช้ยาแรงพยุงเงินบาทแข็งค่าเร็ว
ทั้งนี้ ในด้านเศรษฐกิจ ตอนที่ได้รับตำแหน่ง ปัญหาแรก คือ บาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และเครื่องยนต์เศรษฐกิจอื่นไม่ทำงานเลย มีแต่ส่งออกที่เป็นพระเอก โดยในช่วงนั้นเกิดรัฐประหาร ความเชื่อมั่นต่ำ จึงมีแต่พระเอกตัวเดียว คือ ส่งออก แต่ค่าเงินกลับไปในทิศทางเดียว โดยแข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งค่อนข้างน่ากลัว เนื่องจากไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก หากมีเงินไหลเข้า-ออกจะกระทบรุนแรง หลังจากที่ใช้มาตรการอ่อน ๆ สักระยะ แต่ไม่เวิร์ก จึงจำเป็นต้องใช้ยาแรงผ่านมาตรการกั้นสำรอง 30% ของเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น
“เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และคล่องตัวที่สุด โดย ธปท.ได้ศึกษาประเทศอื่นที่สามารถสกัดเงินได้ระยะหนึ่ง แต่เป็นระยะสั้น เพื่อให้ค่าเงินเคลื่อนไหวใน 2 ทิศทาง และซื้อเวลาหาข้อมูลของเงินไหลเข้า-ออกว่ามีปัจจัยเบื้องหลังอะไรบ้าง”
ทั้งนี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของค่าเงินนั้น จะมีประเด็นที่ ธปท.เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะค่าเงินกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน แต่ ธปท.พยายามเข้าไปช่วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรให้เศรษฐกิจพอที่จะสามารถทำงานได้ยั่งยืน ไม่ได้พึ่งเฉพาะบางตัว เช่น ช่วงโควิด-19 เดิมพึ่งพาภาคท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว ทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจที่จะต้องใช้เครื่องมืออื่นเข้าไปดูแล
“ที่ผ่านมาเราคุยกับภาคเอกชนต่อเนื่องเกี่ยวกับภาคส่งออก เพราะเกี่ยวข้องกับค่าเงิน ซึ่งมีการเสนอให้ดูตัวอย่างจากญี่ปุ่นที่เผชิญค่าเงินแข็งค่าในปี 1985 ให้ดูประสบการณ์ที่สามารถผ่านพ้นและเติบโตได้ แต่ก็ไม่มีแอ็กชั่นใดเกิดขึ้น ดังนั้น หากเครื่องมือดูแลไม่พร้อม แต่ภาระมาอยู่กับ ธปท.จะทำไปแล้วก็ไม่ได้ผลพอสมควร”
ต้องสื่อสารตรงไปตรงมา
สำหรับความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อในปี 2551 พบว่า ในช่วงสามไตรมาสแรกเงินเฟ้อสูงมาก โดยราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ที่ 144 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเงินเฟ้อทั่วไปสูงกว่า 9% และเงินเฟ้อพื้นฐานทะลุกรอบเป้าหมายอยู่ที่ 3.7% ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ส่งสัญญาณในเดือน พ.ค. ปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เกิดแรงถล่ม ธปท.เพราะมองเป็นการซ้ำเติมประชาชน แต่หากมองเงินเฟ้อพื้นฐานทะลุเป้าหมายสะท้อนถึงดีมานด์เศรษฐกิจที่มีอยู่ ไม่ได้เป็น Supply Side ดังนั้น การสื่อสารมีความจำเป็น เพราะจะเห็นว่าหลังมีการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ต่อปี ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค.แล้ว ประชาชนเองก็ยอมรับ เพียงแต่ ธปท.ต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
ดร.ธาริษากล่าวว่า สำหรับความท้าทายด้านวิกฤตเศรษฐกิจโลกผลพวงน้อยกว่าปี’40 เนื่องจากตอนนั้นไทยอยู่กลางสมรภูมิภูเขาไฟระเบิด แต่ปี’51 วิกฤตเศรษฐกิจโลกมีอยู่ 2 ด้าน คือ 1.ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งตอนนั้นใช้เงินฝากเป็นแหล่งเงินสำคัญ ไม่ได้พึ่งพา Interbank หลังเกิดวิกฤตสภาพคล่องเหือดหายไป ไม่มีใครกล้าปล่อยกู้จนธนาคารเลห์แมนบราเธอร์สใหญ่อันดับ 4 ของโลกยังอยู่ไม่รอด แต่ไทยกระทบน้อยเพราะไม่ได้พึ่งพาการเงินโลก
และ 2.ผลพวงจากการแก้ปัญหาหลังปี’40 มีการปรับระบบธนาคารพาณิชย์ให้ส่งสัญญาณที่ต้องระมัดระวัง เน้นการบริหารความเสี่ยง อะไรที่มีความเสี่ยงให้ระมัดระวัง ซึ่งในช่วงนั้นสถาบันการเงินสหรัฐมีการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แต่ไทยเองมีลงทุนอยู่ 2 ธนาคาร แต่มีสัดส่วนน้อย เพราะต้องการลงทุนเพื่อเรียนรู้ โดยมีการยกเครดิตแบงก์หลังปี’40 ที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี
ยืนยันความถูกต้องแม้การเมืองแทรกแซง
ส่วนความท้าทายทางด้านการเมือง หลังจากอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการ 4 ปี มีนายกฯ 4 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 5 คน เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ใช้นักการเมืองเปลืองมาก อย่างไรก็ตาม มีทั้งผลดีและผลลบ โดยผลดี คือ มี สนช.เข้ามาซึ่งสมาชิกล้วนมาจากภาคการเงิน ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ทำให้เข้าใจในกฎหมายและธุรกิจภายหลังจาก ธปท.มีการเตรียมร่างแก้กฎหมายกันมาหลายเวอร์ชั่น ซึ่งมีการผลักดันด้วยกัน 4 ฉบับ
ด้านลบ คือ เหตุการณ์ที่ฝ่ายการเมืองอยากจะให้คนเข้ามาอยู่ในธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ถือหุ้นอยู่ แต่ภายหลังมีการตรวจสอบบุคคลดังกล่าวกลับพบว่ามีประวัติด่างพร้อย เราจึงพยายามหยุด ซึ่งสามารถทำได้ แต่ก็ต้องมีผลพวงเกิดขึ้นจากการถูกสอบสวนในกรณีประมาทเลินเล่อได้ แต่หลังจากมีการเลือกตั้งใหม่ ข้อนั้นส่วนบกพร่องได้ตกลงไป จึงเป็นเรื่องที่ ธปท.ต้องยึดหลักความถูกต้อง
พร้อมรับมือความเสี่ยงในอนาคต
และด้านลบการเมืองอีกข้อ คือ จะต้องดูแลระบบให้ดี หลังจากในปี 52-53 มีการประท้วงกับเสื้อหลากสีและมีการลงถนนประท้วงตามจุดต่าง ๆ เช่น ทำเนียบรัฐบาล สนามหลวง และราชดำริ ธปท.ในฐานะดูแลระบบธนาคารพาณิชย์ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และระบบภายในขององค์กรเอง จึงจะต้องมีเรื่องของ Operation Risk ซึ่งจะต้องดูแลพนักงาน ลูกค้าที่มาใช้บริการสาขาในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
โดยจะต้องดำเนินนโยบายอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดระบบล่มหรือเช็คเด้งในวันรุ่งขึ้น รวมถึงต้องดูแลพนักงาน ธปท.ที่มีความจำเป็น 30% เข้ามาทำงาน หรือการย้ายบางส่วนไปศูนย์สำรอง นอกจากนี้ความเสี่ยงยังมาจากสาเหตุอื่น เช่น ความเสี่ยงทางด้านภัยไซเบอร์ ความเสี่ยงทางด้านเครดิต เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากจะเตือน ธปท.ไว้ในอนาคต
โลกเผชิญความไม่แน่นอน-ซับซ้อน
ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ได้ดำรงตำแหน่งในช่วงปี’58-63 จะพบว่า 1.โลกเผชิญความผันผวนและไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือบนโลกที่เรียกว่า VUCA 2.อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดการแสวงหาผลตอบแทนสูง หรือ Search for Yield นำมาสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าควร และจากปัจจัยภายนอกทั้งจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และการทำนโยบายการเงินจนมากระทบเราโดยไม่ตั้งใจ
ดังนั้น ในด้านเสถียรภาพ ธปท.จะต้องมาดูว่าการแสวงหาผลตอบแทนสูงและภาวะดอกเบี้ยต่ำ จะเกิดอะไร โดยเป็นธนาคารเงา หรือ Shadow Bank หรือ Nonbank เพราะกฎเกณฑ์การเงินไม่เข้มข้นเท่าธนาคารพาณิชย์ เพราะเงินเหมือนน้ำจะไหลไปในที่มีผลตอบแทนสูงและกฎเกณฑ์น้อย
3 ความเสี่ยงกระทบเสถียรภาพ
โดยหากพิจารณาดูจะพบว่ามีความเสี่ยง 3 ด้าน คือ 1.ตลาดการเงิน ซึ่งจะพบว่ามีปัญหาเรื่องพันธบัตรที่ไม่มีการจัดอันดับ หรือให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Bond) ที่ออกช่วงสั้นเวลา 3-6 เดือน ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ไม่สามารถชำระได้ และเพื่อไม่ให้เกิดการลามในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ธปท.ได้ออกมาตรการในเดือน เม.ย.63 รวมถึงมีเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ฉุกเฉินในการลดดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้ไฟลามทุ่งหากไม่สามารถหยุดได้
2.สหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเริ่มเห็นการดึงเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งกฎเกณฑ์การควบคุมมีปัญหา ทั้งเรื่องการบริหารความเสี่ยง และการทุจริต อย่างไรก็ดี ธปท.ได้ร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เข้าไปช่วยตรวจสอบ และ 3.สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่มีการทำนโยบายกึ่งประชานิยม ซึ่งมีการบันทึกความเสียหายจากการทำนโยบายไว้ที่ SFIs แบบไม่ตรงไปตรงมา ทำให้ธปท.เข้าไปมีบทบาทในการดูแล SFIs เพื่อออกเกณฑ์กำกับดูแลความเสี่ยง
เร่งกำกับก่อนไฟลามทุ่ง
ทั้งนี้ หากกลับมาดูเรื่องที่ไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน แต่หากปล่อยไว้ก็จะเป็นปัญหา ได้แก่ 1.หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งธปท.ก็หวังว่าจะออกมาตรการหลาย ๆ ด้านออกมา ในการดูแลความเสี่ยงหรือมาตรการ Macro Prudential เช่น มาตรการบัตรเครดิต มาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) มาจากปรากฏการณ์สินเชื่อเงินทอน โดยให้ราคาเกินกว่าความเป็นจริง เช่น ราคาบ้าน 100 บาท แต่ให้สินเชื่อท็อปอัพ 120 บาท เป็นต้น ดังนั้น หากปล่อยไว้จะเป็นระเบิดเวลา และหากเกิดระเบิดขึ้นมาจะใช้ต้นทุนทั้งระบบในการจัดการทีหลังค่อนข้างสูงมาก
“โจทย์เสถียรภาพระบบการเงินจะมีความแตกต่างจากสถาบันการเงิน จึงเป็นที่มา จับควันให้ไว ดับไฟให้ทัน ป้องกันไม่ให้ลาม”
สำหรับด้านพัฒนา เมื่อด้านเสถียรภาพอยู่ในระดับที่ดีแล้ว ธปท.จะต้องมองให้ไกลขึ้น คือ 1.ปัญหาเชิงโครงสร้างที่บิดเบือน หากสะสมอยู่เรื่อย ๆ จะมีผลต่อการแข่งขันของประเทศ ผลิตภาพ และความเหลื่อมล้ำ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธปท.พยายามให้เกิดโครงสร้างพื้นฐาน
เช่น ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างระบบนิเวศให้สามารถตอบโจทย์คนตัวเล็กที่ถูกมองข้าม และมีการบิดเบือนโครงสร้างค่าธรรมเนียม เช่น ธนาคารพาณิชย์แห่เปิดสาขาเพื่อบริการลูกค้า ซึ่งมีต้นทุนในการทำธุรกรรม แต่ประชาชนมองว่าไม่มีค่าธรรมเนียม ซึ่งในความเป็นจริงธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนสาขาเฉลี่ยอยู่ที่ 120-130 บาทต่อรายการ หรือธุรกรรมบนเอทีเอ็มครั้งละ 27-30 บาทต่อรายการ ซึ่งเป็นต้นทุนระบบที่เราจะต้องแบกไว้
“ประชาชนตัวเล็กได้รับความเดือดร้อนจากโครงสร้างธรรมเนียมที่บิดเบือน จะเห็นว่าค่าโอนเงินข้ามจังหวัดเสียค่าฟีสูงถึง 20-30 บาทต่อรายการ หากไทยจะเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล นี่คือหัวใจสำคัญการบิดเบือนของค่าฟี ซึ่งเราพยายามเปิดกว้างผ่านการเชื่อมต่อ API เพื่อไม่ให้ใครเป็นเจ้ามือใหญ่ หรือเจ้ามือเดิม จะเห็นผ่านโครงการพร้อมเพย์ หรือคิวอาร์โค้ด หรือการสร้างแซนด์บอกซ์เพื่อพัฒนา ที่เราเห็นไม่ว่าจะเป็น NDID หรือ L/G การโอนเงินไปต่างประเทศที่ต้นทุนถูกลง จากเดิมที่ไทยติดอันดับค่าธรรมเนียมโอนเงินไปต่างประเทศแพงที่สุดในโลก”
2.การแก้ปัญหาผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยประชาชนเดินเข้าสาขาจะต้องไม่โดนธนาคารพาณิชย์บังคับขายประกัน โดย ธปท.ได้ทำเรื่องการให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (Market Conduct) ซึ่งมีการออกกฎกติกา เช่น การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ หรือการเข้าไปดูแลกำกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท เช่น จำนำทะเบียนรถที่มีผลกระทบต่อประชาชน
และ 3.ธปท.ผู้กำกับดูแล เพราะเรามีกฎกติกาล้าหลัง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎระเบียบที่ออกมาตั้งแต่ปี’40 หลายเรื่องออกมาก่อน ทำให้ ธปท.ต้องทำเรื่องกิโยตินปรับให้ทันความเสี่ยงและต้นทุนโดยรวมทั้งหมด
ยกระดับบุคลากรรับมือเทคโนโลยี
โดยกลุ่มสุดท้าย คือ การสร้างความเป็นเลิศขององค์กร บุคลากรของ ธปท. ซึ่งจะเป็นผู้ชี้นำให้อุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งตรงไหนที่ขาดคนก็เอาเข้ามาเติม หรือการตั้งฝ่ายระบบเสถียรภาพสถาบันการเงิน ฝ่ายฟินเทค ฝ่ายตรวจสอบสถาบันเฉพาะกิจ SFIs หรือฝ่าย Data Analytic ที่สำคัญมาก เพราะสามารถจับชีพจรได้ทันท่วงที และมีประจักษ์พยาน รวมถึงการปรับให้เป็นกระบวนการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นโดยใช้กลไกต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น Robotic หรือการปรับเปลี่ยนแนวความคิด (Mindset) ในการรับเรื่องของเทคโนโลยี
“โดยหัวใจของบุคลากร คือ มีฐานคิด ฐานใจ ฐานทำ ซึ่งในฐานทำจะต้องทำในสิ่งที่กล้าทำ ฐานใจจะต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน เพราะเราอยู่ภายใต้ผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ จึงต้องมีภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจ”