สภาพัฒน์ เตรียมถก “คนละครึ่ง เฟส 5” รมว.คลัง ชี้บริโภคดีขึ้น ไตรมาสแรกพุ่ง 3.9%
วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงกรณีที่จะมีมาตรการคนละครึ่ง เฟส 5 ออกมาดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ว่า จะต้องดูในแง่ความจำเป็นของมาตรการนี้ และประเมินร่วมกับการบริโภคและกำลังการใช้จ่ายของประชาชนด้วย ซึ่งสศช.จะต้องมีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกครั้ง ทั้งนี้ หากมีมาตรการดังกล่าว จะต้องออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
นอกจากนี้ ปัจจุบันเม็ดเงินจากพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท เหลืออยู่ 7.4 หมื่นล้านบาท และยังมีภาระที่ต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม จาก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเศรษฐกิจฐานราก ที่ยังรอใช้วงเงินอยู่ 1 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางด้านการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโควิด อีก 1.6 หมื่นล้านบาท
ฉะนั้น วงเงินจากพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมที่จะนำมาใช้ได้ในช่วงถัดไป จะคงเหลือจริง 4.8 หมื่นล้านบาท จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าโครงการที่จะดำเนินการต่อไปจะทำอย่างไรบ้าง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนจะมีการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่ออัดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจหรือไม่นั้น มองว่าการที่จะกู้เงินเพิ่มเติม หรือใช้มาตรการคลังลักษณะใด ต้องดูปัจจัยที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบ รวมทั้งทรัพยากรในประเทศที่มีอย่างจำกัดด้วย
โดยเฉพาะฐานะการคลังในระยะถัดไป หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง และธปท. จะต้องหารือร่วมกันอย่างรอบคอบถึงความจำเป็น และสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้เป็นผลกระทบซ้อนกันมาจากโควิด ซึ่งการกู้เงินอัดเข้าเศรษฐกิจต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไตรมาส 1 ของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 2.2% โดยการบริโภคขยายตัวกว่า 3.9% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4% ถือว่าการใช้จ่ายเริ่มกลับมาดีขึ้น
ส่วนจะดำเนินโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ต่อหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาระดับการบริโภคของประชาชนด้วย ขณะที่พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท ซึ่งมีวงเงินเหลืออยู่ 4.8 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกลั่นกรองใช้จ่ายเงินกู้เป็นผู้ดูแล
