เงินเฟ้อพุ่ง ไม่กระทบธุรกิจ รพ. โบรกอัพราคาหุ้น BDMS แรงหนุนโปรเจ็กต์ Wellness

ตลาดหุ้นไทย-set

เมย์แบงก์ประเมินเงินเฟ้อพุ่ง ไม่กระทบต้นทุนธุรกิจโรงพยาบาล CHG ลงทุนยาวอัตราโตดี “กสิกรไทย” เพิ่มมูลค่าหุ้น BDMS อีก 1-4 บาท รับแรงหนุนโปรเจ็กต์ยักษ์ BDMS Wellness and Residence

วันที่ 15 มิถุนายน 2565 นางสาวยุวนีย์ พรหมาภรณ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ฝ่าย IS Research บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า

จากภาวะอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นสูง ประเมินว่าอาจจะไม่ได้กระทบต่อธุรกิจโรงพยาบาลมาก เพราะอุตสาหกรรมนี้จะมีต้นทุนค่าแรงของหมอและพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ และถ้ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตรงนี้ก็ไม่น่าจะมีผลมาก ขณะที่ส่วนอื่น ๆ เช่น ค่ายา ก็ยังไม่ได้เห็นว่าจะแพงขึ้นอย่างชัดเจน

โดยในส่วนภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาล จะทราบกันดีว่ารายได้โควิดในปี 2565 จะหายไปมาก เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อราคาหุ้นโรงพยาบาลหลาย ๆ ตัว โดยเฉพาะบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH และบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรักษาผู้ป่วยประกันสังคมที่สูง

ทั้งนี้ถ้ามองในระยะยาว ๆ CHG จะค่อนข้างน่าสนใจเพราะมีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากโรงพยาบาลส่วนใหญ่อยู่ในเขต EEC ที่มีประชากรแน่นหนาและมีรายได้สูง แล้วการจ้างงานเยอะจะดีต่อผู้ป่วยประกันสังคมที่มีสัดส่วนประมาณ 30% ของรายได้รวมทั้งหมด ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปีนี้ของ CHG อยู่ที่ 4.50 บาท

ส่วนการปรับโรคโควิดสู่โรคประจำถิ่น เท่าที่คุยกับภาคธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งเทียบเคียงรายได้จากโรคไข้หวัดใหญ่แล้วพบว่า รายได้ตรงนี้ไม่ได้มาก ความหมายของการเป็นไข้ประจำถิ่นที่ชัดเจนคือ จะมีรายได้ต่อเนื่องจากรายได้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในระยะยาว ซึ่งอาจจะฉีดทุกปีเหมือนไข้หวัดใหญ่

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า เราเห็นโครงการลงทุนของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เม็ดเงินลงทุนกว่า 2.35 หมื่นล้านบาทในโครงการ BDMS Wellness and Residence บนที่ดินตรงข้ามสวนลุมพินี โดยมีบริษัท บีดีเอ็มเอส ซิลเวอร์ จำกัด

ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ BDMS ถือหุ้นทั้งหมดจะทำสัญญาเช่าที่ดิน 13 ไร่ตรงหัวมุม ถ.สารสิน และ ถ.หลังสวน จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นเวลา 30+30 ปี มูลค่า 9.1 พันล้านบาท และใช้เงินอีก 1.44 หมื่นล้านบาท ใน 6.5 ปี เพื่อสร้างอาคาร 3 หลัง ก่อนเปิดบริการในปี 2572 ซึ่งจากการประชุมนักวิเคราะห์ บริษัทคาดสัดส่วนต้นทุนของโครงการ Wellness กับ Residence อยู่ที่ 60/40

ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ดี แต่เรามองเห็นความเสี่ยงในการดำเนินการ และยังไม่ได้สะท้อนการลงทุนนี้ในประมาณการของเรา อย่างไรก็ตาม หาก BDMS ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ ด้วยอัตราส่วนลด 5-7% จะเพิ่มมูลค่าอีก 1-4 บาทต่อหุ้นให้กับ BDMS

เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2566 ที่ 28.2 บาท เรามองโครงการ wellness เป็นการลงทุนที่ถูกทาง เพราะโครงการใหม่นี้ช่วยให้ธุรกิจ BDMS มีการกระจายความเสี่ยง และจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจดูแลสุขภาพในระยะยาวเพื่อจับกลุ่มตลาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการดำเนินการ รวมถึงชื่อเสียงของพันธมิตร เวลาที่ใช้ในการก่อสร้างและการขอ EIA รวมถึงกำลังซื้อในอนาคตของกลุ่มลูกค้าระดับบนต่อโครงการ