ส่องราคาทองครึ่งปีหลัง เผชิญผลกระทบ 3 ปัจจัย

ทองคำ

 

ฮั่วเซ่งเฮง อ่านทิศทางทองคำครึ่งปีหลัง เผชิญ 3 ปัจจัยหลักกระทบราคา คาดช่วงที่เหลือของปีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,680-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำแท่งในประเทศ 20,850-31,200 บาท แนะทยอยซื้อเก็บช่วงราคาตก

นางศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าราคาทองคำ gold spot ปรับตัวลงค่อนข้างรุนแรง โดยตั้งแต่ต้นปีราคาทอง gold spot ปรับลงไปแล้วราว 5%

แต่ว่าราคาทองคำแท่งในประเทศยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 5% เป็นผลจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงถึง 8% ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งยังคงได้ผลตอบแทนที่เป็นบวก

“สาเหตุที่ราคาทองคำ gold spot ปรับตัวลงรุนแรงในช่วงนี้ เป็นผลจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 20 ปี ผลจากการที่ตลาดกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็ประเมินว่าโอกาสที่ราคาทองคำจะกลับไปสู่จุดสูงสุดเดิมในปีนี้ที่ระดับ 2,069 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจจะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก

Advertisment

“โดยคาดว่าราคาในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบบริเวณ 1,680-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และถ้าเป็นราคาทองคำแท่งในประเทศ ก็จะอยู่ที่บริเวณบาทละ 28,500-31,200 บาท”

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมี 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.อัตราเงินเฟ้อ 2.นโยบายการเงินของเฟด ซึ่งตลาดคงจะให้ความสำคัญกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น และ 3.การที่เฟดเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกถดถอยหรือไม่

ซึ่งจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นที่สุดในรอบ 40 ปี ถ้าหากดูตัวเลขดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ในเดือน พ.ค. ที่เพิ่มขึ้นถึง 4.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564

“ตัวเลขตรงนี้มีความสำคัญ เพราะว่าเป็นอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่เฟดประเมินว่าไม่ควรเกิน 2% โดยต้นเหตุหลักที่เงินเฟ้อสูงขึ้น มาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำมาสู่อัตราเงินเฟ้อที่เฟดอาจจะควบคุมได้ยาก

Advertisment

“ตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่าเฟดมีการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทุกครั้ง ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย 8 ครั้ง จาก 11 ครั้ง และอีก 3 ครั้งเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว”

ประเมินปลายปี ดอกเบี้ยเฟดอยู่ที่ 3.25-3.50%

นางศิริลักษณ์กล่าวว่า แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ ถ้าดูจากการประมาณการดอกเบี้ยของเฟด ที่ประเมินว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1.75% โดยตลาดประเมินว่าเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ย 1.75-2.00% ซึ่งการประชุมในเดือน ก.ค.นี้ ตลาดประเมินว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% และการประชุมในเดือน ก.ย.และ พ.ย.จะปรับขึ้นครั้งละ 0.50%

ส่วนการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือน ธ.ค. ตลาดประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยของเฟดช่วงสิ้นปี อาจจะอยู่ที่ระดับ 3.25-3.50%

“จากประเด็นเหล่านี้ทำให้ในช่วงระยะสั้นยังคงเห็นเม็ดเงินไหลเข้าไปสู่เงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูงที่สุด ซึ่งปัจจุบันคนอาจจะบอกว่าถือเงินสดดีที่สุด ฉะนั้น จึงทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และก็ยังไม่ได้มีแรงซื้อทองคำกลับเข้ามา”

ขณะที่มองไปข้างหน้า หากเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ซึ่งในช่วงแรกคงส่งผลบวกกับเงินดอลลาร์ แต่ในระยะถัดไปเม็ดเงินบางส่วนก็อาจจะไหลเข้าสู่ทองคำได้ แต่ต้องติดตามดูว่าเศรษฐกิจจะถดถอยลงไปมากน้อยแค่ไหน

ถ้าถดถอยมากคนส่วนใหญ่ก็อาจจะต้องการถือเงินสด แต่ถ้าหากเศรษฐกิจแค่ชะลอตัวลง เม็ดเงินส่วนหนึ่งก็น่าจะไหลเข้าตลาดทองคำที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อได้ และเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยง”

“สำหรับการลงทุนทองคำแนะนำว่าให้ทยอยซื้อเก็บในช่วงที่ราคายังเป็นขาลง ซึ่งในระดับราคาปัจจุบัน ก็เป็นระดับราคาที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ โดยจุดปลอดภัยที่จะเข้าซื้อถ้าเป็นทองคำแท่งจะอยู่ที่บริเวณบาทละ 28,500-28,700 บาท ขณะที่ราคาทองคำ gold spot จะอยู่บริเวณ 1,680-1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์” นางศิริลักษณ์กล่าว