“กรมเจ้าท่า” เดินหน้าติดตั้งอุปกรณ์ช่วยการเดินเรือ ลดอุบัติเหตุการสัญจรทางน้ำ ทั้งการติดตั้งทุ่นเครื่องหมายการเดินเรือ หลักไฟ ป้ายเครื่องหมายการเดินเรือ กำหนดความชัดเจนให้คนเรือ และสร้างความเชื่อมั่นผู้ใช้บริการ
วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่าได้วางแผนเชิงรุกในการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยในการเดินเรือให้มีประสิทธิภาพสอดรับกับกิจกรรมทางน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้บริการสูงขึ้น ภายหลังจากสถานการณ์โควิด และการเปิดประเทศ
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
โดยกรมได้กำหนดให้มีการจัดหาอุปกรณ์ที่มีความเหมาะสม ในการติดตั้งเครื่องช่วยการเดินเรือ หรืออาณัติสัญญาณที่ได้รับการออกแบบเป็นอุปกรณ์ ระบบ หรือการให้บริการที่อยู่ภายนอกตัวเรือ ที่ประกอบไปด้วย
1.ทุ่นเครื่องหมายการเดินเรือ (Lighted-Buoy), ทุ่นปากร่อง, ทุ่นไฟขอบร่อง, ทุ่นไฟแสดงที่หมายพิเศษ
2.หลักไฟเครื่องหมายการเดินเรือ ในการติดตั้งไม่ว่าจะเป็นหลักไฟขอบร่อง, หลักไฟปลายสันเขื่อน, หลักไฟแสดงที่หมายอันตราย
3.หลักไฟนำ 4.ทุ่นเครื่องหมาย และ 5.ป้ายเครื่องหมายการเดินเรือ
“การเดินเรือหรือการจราจรทางน้ำได้กำหนดเป็นแผนปฏิบัติการในปี 2565 ที่จะเร่งจัดหา ติดตั้งอุปกรณ์นำร่อง และการบำรุงรักษาเครื่องช่วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย รวมถึงชายฝั่งและเกาะในประเทศตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย และให้เป็นตามมาตรฐานของสมาคมประภาคาร และเครื่องช่วยการเดินเรือระหว่างประเทศ IALA (International Association of Marine aids to Navigation and Lighthouse Authorities) เพื่อความพร้อมของไทยในการรองรับการใช้บริการทางน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งต้องเข้มข้นในด้านความปลอดภัย และความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ” นายสมพงษ์กล่าว
อนึ่ง กรมเจ้าท่าดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงตาม อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล ค.ศ. 1974 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงเตรียมความพร้อมรองรับการตรวจสอบ ของประเทศสมาชิกองค์กรทางทะเลระหว่างประเทศ ภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) เพื่อประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขั้นตอนการติดตั้งอุปกรณ์ และเครื่องมือเพื่อความปลอดภัย โดยคำนึงถึงปริมาณและความหนาแน่นของการจราจรทางน้ำที่เกิดขึ้น รวมถึงระดับความเสี่ยงของการจราจรในพื้นที่