วิกฤตโดมิโนของตลาดคริปโต

คริปโต บิตคอยน์
Photo : Pixabay

คอลัมน์ : Tech Times
มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

ปี 2022 ต้องถือเป็นปีหฤโหดแห่งวงการเทค โดยเฉพาะตลาดคริปโต ที่โดนกระหน่ำด้วยข่าวฉาวหลายระลอกจนนักลงทุนทั่วโลกหมดตัวกันเป็นแถว

ว่ากันว่าหากอยากรู้ว่า สถานะของตลาดเป็นอย่างไร ให้ดูราคา Bitcoin เป็นตัวชี้วัด ณ วันที่เขียนต้นฉบับ ราคา Bitcoin อยู่ที่ 16,786 ดอลลาร์ต่อเหรียญ จากที่เคยมีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ราว 70,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จึงเท่ากับว่าราคาร่วงลงไปกว่า 70% ภายในเวลาแค่ปีเดียว

“บีบีซี” เปรียบเทียบว่า หาก Bitcoin คือ นักมวย ก็คงเป็นนักมวยที่โดนหมัดน็อกลงไปนอนนับดาวแล้ว

และไม่ใช่แค่ Bitcoin ที่ซวนเซ เหรียญคริปโตอื่น ๆ รวมถึง stablecoins และ NFTs ก็ออกอาการเมาหมัดเช่นกัน

สาเหตุที่ทำให้ตลาดคริปโตถดถอยอย่างรุนแรง มาจากประเด็นข่าวฉาวที่ผุดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน

แต่ที่จัดว่าเป็นคลื่นยักษ์แห่งวงการระลอกแรก น่าจะเป็นการล้มครืนของโทเค็น และ stablecoin ชื่อดังอย่าง Luna และ TerraUSD ในเดือนพฤษภาคม ที่ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยและรายใหญ่สูญเงินไปกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญ

การล้มลงของ TerraUSD ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็น stablecoin ที่ “มั่นคง” หรือ “stable” ที่สุดตัวหนึ่ง ทำให้ตลาดเกิดอาการ “แพนิก” อย่างหนัก โดยมีนักลงทุนแห่เทขายเหรียญคริปโตหนีตายกันไม่คิดชีวิต กดให้ราคาเหรียญทุกชนิดหล่นฮวบ และทำให้มูลค่าตลาดลดลงไปกว่า 2 ล้านล้านเหรียญในเดือนพฤษภาคม

สึนามิลูกที่สอง คือ การล้มละลายของ FTX แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอันดับสองของโลกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก จนคนในวงการตั้งรับไม่ทัน โดย CoinMarketCap ประเมินว่าเพียงแค่วันเดียวก็ส่งผลให้มูลค่าของทั้งตลาดลดลงไปอีก 12% โดยราคาของ Bitcoin และ Ether สองสกุลเงินคริปโตหลัก ลดลงกว่า 20% ในขณะที่ผู้ให้บริการอื่น ๆ อย่าง BlockFi และ Genesis Global Capital ต้องยื่นล้มละลาย เพราะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก

นักลงทุนหลายล้านรายต้องสูญเงินเก็บที่สะสมมาทั้งชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพราะ FTX จัดว่าเป็น cryptoexchange ที่นักลงทุนหน้าใหม่ไว้ใจนำเงินมาลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่ง แต่แล้วหลายคนก็ใจสลาย เมื่อพบว่าแพลตฟอร์มนี้ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด โดยตอนนี้ทางการสหรัฐ ได้ตั้งข้อหาฉ้อโกงรวมกับคดีอื่น ๆ อีก 8 คดี กับ “แซม แบงก์แมน-ฟรายด์” ผู้ก่อตั้ง FTX ไปเรียบร้อยแล้ว และหากพบว่าผิดจริง อดีต “อัศวิน” แห่งโลกคริปโตคนนี้ อาจต้องมีชีวิตที่เหลือในคุก

อย่างไรก็ตาม “สตีเฟน เดเลโว” จาก Caribbean Blockchain Alliance เตือนว่า นี่อาจยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของตลาดคริปโต ในขณะที่ “แครอล อเล็กซานเดอร์” อาจารย์จาก University of Sussex Business School ซึ่งเป็นคนทำนายไว้ตั้งแต่ปีก่อนว่า ตลาดคริปโตจะล่มในปีนี้ ก็ยังคาดไม่ถึงว่าตลาดจะเละเทะได้ขนาดนี้

“Binance” แพลตฟอร์มซื้อขายอันดับหนึ่งของโลก ยังได้รับผลกระทบจากกรณี FTX โดยมีนักลงทุนแห่เทขายเหรียญและถอนเงินไม่หยุด บางวันยอดถอนสูงถึง 1.4 พันล้านเหรียญ ร้อนถึง “จางเผิง เจ้า” ซีอีโอ ต้องออกมาทวีตปลอบขวัญนักลงทุนว่าให้ใจเย็น ๆ โดยย้ำว่า กิจการของ Binance ยังไปได้ด้วยดี

แต่อย่างที่ “เจมส์ รอยัล” นักวิเคราะห์จาก Bankrate.com เคยให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ว่า ราคาของคริปโตนั้น ตั้งอยู่บน “ความคาดหวัง” และ “ความเชื่อ” ล้วน ๆ

เมื่อเผชิญกับข่าวฉาวไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งการล่มสลายของโทเค็นชั้นนำ การล้มละลายของบริษัทคริปโตและแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ ไปจนถึงกระบวนการแฮกที่ดูดเอาเงินออกจากระบบไปรัว ๆ กว่า 3 พันล้านเหรียญในปี 2565 (ข้อมูลจาก Chainalysis) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจึงถูกกัดเซาะและส่งผลต่อมูลค่าของตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“โอมิด มาเลกัน” อาจารย์จาก Columbia Business School บอก บีบีซีว่า การเก็งกำไรคริปโตคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำในตอนนี้ เพราะราคาลดลงไปมาก ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ก็ล้มหายตายจากไปหลายราย

แต่ถ้ามองในฐานะ”เทคโนโลยี” เขาเชื่อว่า “คริปโต” มีวิวัฒนาการที่ดีทีเดียว โดยเฉพาะการเปิดให้ผู้คนมากมายโดยเฉพาะในประเทศยากจนที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น

ทั้ง “สตีเฟน เดเลโว และแครอล อเล็กซานเดอร์” เห็นไปในทางเดียวกัน โดยสตีเฟนมองว่า คริปโตช่วยให้องค์กรการกุศลส่งเงินช่วยเหลือไปยังพื้นที่ห่างไกลหรือประเทศที่กำลังเผชิญภัยสงครามได้ง่ายขึ้น ส่วนแครอลเชื่อว่า คริปโต คือ พื้นฐานสำคัญของอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลโลก


การล่มสลายของ Terra Luna การปล่อยให้มีช่องโหว่ในระบบจนแฮกเกอร์ย่ามใจ รวมถึงการล้มละลายของ FTX อันเกิดจากการขาดการตรวจสอบการบริหารที่โปร่งใสน่าจะเป็นบทเรียนให้นักลงทุน สถาบันการเงิน ตลอดจนหน่วยงานกำกับหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างตลาดคริปโตที่โปร่งใส ปลอดภัย และตรวจสอบได้มากขึ้น และหวังว่าปี 2023 จะไม่โหดร้ายเกินไป