ความสับสนขององค์กรหลังโควิด 

นูทานิกซ์ เผย หลังโควิดองค์กรต้องพิจารณาเทคโนโลยี-โซลูชั่นของตนใหม่ เหตุเพราะการเร่งปรับใช้ช่วงโควิด แอป-ข้อมูล ล้น ขณะวิกฤตใหม่กำลังมา 

นายอารอน ไวท์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานด้านการขายของนูทานิคซ์ (Nutanix) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ คลาวด์ และโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ เปิดเผยว่า จากการพูดคุยและรับฟังลูกค้าตลอดช่วงโควิด 19 ทําให้มีข้อมูลที่ดีในการทำความเข้าใจช่วงเวลาที่โควิด 19 กำลังหมดไป ซึ่งลูกค้าพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งปกติ 

การปรับตัวสู่ภาวะปกติมีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อองค์กร และการปรับใช้ IoT ซึ่งบรรดาองค์กรกำลังมึนงงเกี่ยวกับการปรับตัว หลังช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา พวกเขาจําเป็นต้องประเมินความต้องการด้านไอทีของพวกเขาอีกครั้งในช่วงหลังโควิด 19 นี้

“สังเกตเห็นว่าการอยู่นิ่งหรือหยุดที่จะพัฒนาทางดิจิทัลนั้นไม่ใช่ตัวเลือกในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการควบคุมโลกดิจิทัลทางออนไลน์ทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงในองค์กร บริษัทไอที และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการคำนึงความเสี่ยง เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับเทคโนโลยีให้เข้ากับความต้องการในอนาคตได้โดยเฉพาะจากเงื่อนไขที่องค์กรถูกขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชันที่เกิดขึ้นมหาศาล รวมถึงข้อมูลในองค์กรมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงโควิดที่ผ่านมา”

จากการเติบโตของ Nutanix ในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อสิ้นเดือนตุลาคมถึงธันวาคมเป็นไตรมาสที่ Nutanix มีรายได้เติบโต 27% เมื่อเทียบปีต่อปี และเริ่มจะมีกําไรครั้งแรก ทำให้จำเป็นต้องขยายบริการเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นที่มีความน่าสนใจ ด้วยทั้งหมดเติบโตอย่างมาก ในบางพื้นที่สามารถให้รายได้เพิ่มทั้งหมด 56% เทียบปีต่อปี ในออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบปีต่อปี และในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 43% ปีต่อปี 

นายอารอน กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามในการเติบโตเหล่านี้เราจึงสังเกตเห็นสองสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ 1.สภาวะที่สับสนขององค์กรและบริษัท หลังการทรานสฟอร์มองค์กรในช่วงโควิด 19 และ 2.สถานการณ์โลกหลังโควิดไม่แน่นนอน

ภาวะสับสนเกี่ยวกับเทคโนโลยีขององค์กร

ย้อนกลับไปสามปีที่ผ่านมาทุกคนทํางานที่บ้านและองค์กรที่มีความสามารถจะต้องจัดหาวิธีการทำงานจากระยะไกล ซึ่งเปลี่ยนการใช้จ่ายและมันก็ทำไม่ได้ถ้าไม่ได้วางแผนเป็นอย่างดี จำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานใหม่ๆเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการทำธุรกิจ สามปีต่อมาการทำงานแบบรีโมตถูกสร้างไว้แล้วและคนไม่อยากกลับไปทำงานแบบเดิม การทำงานจึงยืดหยุ่นและต้องคำนึงถึงเป้าหมาย การประเมิน ความปลอดภัยและการวางระบบให้พร้อมการทำงานจากทุกที่ 

ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ รีบนำเทคโนโลยีโซลูชันที่ช่วยให้ทำงานจากระยะไกลได้ มีความเร่งรีบสร้างความท้าทายใหม่ๆ รวมถึงการใช้คลาวด์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงและขยายวงกว้างซึ่งทำให้ยากต่อการจัดการ

ความสับสนที่จะเกิดขึ้น คือ ทำให้แอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลที่ช่วยในการทำงานช่วงโควิด กำลังกำหนดความต้องการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ พวกเขาเริ่มรับทราบว่าคลาวด์เป็นรูปแบบการดำเนินงานแบบหนึ่งที่่ต้องเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการดำเนินงาน จึงถึงเวลาที่องค์กรต่างๆ จะต้องถอยหลังและเลิกทำร่วมงานร่วมกับแอปพลิเคชั่นบางอย่างหรือผู้ให้บริการบางราย

งานฝ่ายไอที-เทคโนโลยีดิจิทัลจะต้องเริ่มค้นหาปะติดปะต่อโซลูชันที่ปรับขนาดได้ถาวรมากขึ้น จากเดิมที่ต่างเร่งนำโซลูชั่นที่พอใช้งานได้ในช่วงวิกฤตมาใช้ องค์กรควรจะต้องลงทุนกับโซลูชั่นแบบถาวร 

การอยู่นิ่งๆ ไม่ใช่ทางเลือก – แม้กระทั่งเพื่อรักษาสภาพที่เป็นอยู่

นายอารอน ได้เน้นย้ำว่า แม้สามปีผ่านไปจะทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดใหญ่คลี่คลายลง และความปกติกลับมา แต่การรักษาสถานภาพขององค์กร หรือการดำเนินธุรกิจแบบเดิมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะหลังจากโควิดโลกยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน 

อย่างแรก คือ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาคทำให้ลูกค้าต้องเดินไปตามแนวทางที่ดี  ตอนนี้พวกเขากำลังพยายามหาวิธีสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและปรับตัวได้กับความไม่แน่นอนของโลก 

ในขณะเดียวกันการที่ลูกค้าเคยควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายอย่างซึ่งทำให้พวกเขาผ่านช่วงโรคระบาดมานั้น ปัจจุบันเริ่มที่จะเป็นภาระที่หนักไป ไม่เหมาะกับวัตถุประสงค์อีกต่อไป และไม่สามารถรองรับจำนวนแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่หลากหลายขึ้น และฐานข้อมูลจำนวนมากที่ใช้เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรพวกเขา โดยเฉพาะข้อมูลจำนวนมากที่เกิดขึ้นจากแอปพลิเคชั่นมหาศาลนั้นกำลังเป็นเป็นภาระในการบริหารจัดการ ส่งผลต่อการการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน (คลาวด์-เซอร์เวอร์แบบต่างๆ) เป็นเรื่องน่ากลัว แต่หากไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของระบบจะส่งผลให้ด้านลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้