เปิดผลสำรวจ ชาวอเมริกากว่าครึ่งคาดว่าระบบอัตโนมัติ-เอไอ สามารถทดแทนตำแหน่งงานของตนได้ ในขณะที่งานส่วนใหญ่เป็นงานยอดนิยมของเพศหญิง
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้เผยแพร่ ผลการสำรวจล่าสุดของ American Staffing Association ระบุว่าเกือบครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันที่ตอบแบบสอบถาม กล่าวว่า ระบบอัตโนมัติสามารถเข้ามาแทนที่งานของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แรงงานอายุน้อย คนผิวดำ และคนเชื้อสายสเปน ถือว่าตัวเองถูกแทนที่ได้มากที่สุด ในขณะที่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์และคนอเมริกันผิวขาวมีความกังวลเกี่ยวกับการแทนที่ของระบบอัตโนมัติน้อยกว่า
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ Generative A.I.ได้ขยายศักยภาพของระบบอัตโนมัติในการทำงานหลายด้าน ผลสำรวจยังพบด้วยว่าชาวอเมริกันหนึ่งในสามใช้ AI ในที่ทำงานอยู่แล้ว
ผลสำรวจล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นความต่างจากผลการสำรวจในประเด็นเดียวกันเมื่อปี 2560 ในขณะนั้น พนักงาน-แรงงานเกือบสามในสี่ของแรงงานอเมริกันไม่เชื่อว่างานของพวกเขาจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือ AI ได้อย่างง่ายดาย
“Richard Wahlquist” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคมการจัดหาพนักงาน กล่าวว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ทัศนคติของพนักงานต่อปัญญาประดิษฐ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คนงานเคยมองว่าโปรแกรม AI เป็นสิ่งที่สามารถช่วยคนงานมนุษย์ได้ ตอนนี้คนงานมีความกังวลว่า AI จะสามารถเข้ามาแทนที่พวกเขาทั้งหมดได้
ประมาณสามในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจ คาดว่าการใช้ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่อัตราการว่างงานที่สูงขึ้น โดยที่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ชาย
คนงานในภาคอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่เห็นว่างานของตนมีแนวโน้มจะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติมากที่สุด
ในขณะที่พนักงานด้านการดูแลสุขภาพ มองว่าตนเองมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
นอกจากนี้ คนงานผิวดำและคนงานเชื้อสายสเปน (ฮิสแปนิก) ส่วนใหญ่มองว่างานของตนตกอยู่ในความเสี่ยง เมื่อเทียบกับคนงานผิวขาว
การสำรวจพบว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติที่ก้าวหน้าที่จำนวนการใช้งานเพิ่มขึ้น จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับงาน แต่ความเห็นมีน้ำหนักเท่าๆ กันระหว่างเทคโนโลยีอัตโนมัติจะเข้ามาช่วยงาน และ เข้ามาทำลายอาชีพการงานของตน
การสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจออนไลน์ จากชาวอเมริกันมากกว่า 2,000 คน ดำเนินการระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายน 2566 มีอัตราความคลาดเคลื่อน 2.7% โดย American Staffing Association ตัวแทนของหน่วยงานจัดหาพนักงานชั่วคราวและจัดหางานในอุตสาหกรรม ซึ่งมีรายได้มากกว่า 150 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
เอไอ-ระบบอัตโนมัติ ส่งผลกระทบต่องานยอดนิยมของผู้หญิง
ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่รายงานด้วยว่า การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติ ส่งผลต่ออคติทาง เพศเกี่ยวกับ “งานของผู้หญิง” ด้วย
“ฮักกี ออซเดโนเรน” นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทวิเคราะห์ทรัพยากรบุคคล Revelio Labs ระบุว่า ในอาชีพต่าง ๆ ในสังคมมีการกระจายสัดส่วนระหว่างเพศชาย-หญิง สะท้อนให้เห็นถึงอคติที่หยั่งรากลึกในสังคม โดยผู้หญิงมักจะถูกจำกัดให้อยู่ในบทบาทต่างๆ เช่น ผู้ช่วยฝ่ายบริหารและเลขานุการ ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบของ AI จึงบิดเบือนไปตามแนวทางเพศ
Revelio Labs ระบุงานที่มีแนวโน้มว่าจะถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุด โดยอิงจากการศึกษาของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ จากนั้น พวกเขาเจาะเข้าไปเพื่อพิจารณาเงื่อนไขของเพศในตำแหน่งงานต่างๆ เหล่านั้น พบว่างานส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิง เช่น พนักงานเก็บเงินและบัญชี พนักงานบัญชีเงินเดือน และเลขานุการผู้บริหาร เป็นต้น
ความก้าวหน้าใน AI กำลังทำให้ความไม่เท่าเทียมทางเพศในพนักงานทั่วโลกรุนแรงขึ้น โดยบริษัทต่างๆ กำลังพิจารณาที่จะลดพนักงานบางส่วนและใช้ประโยชน์จาก generative AI ในขั้นตอนการทำงานของพวกเขา
“อาร์วิน กฤษณา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร International Business Machines Corp. (IBM) ได้ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทกำลังชะลอการจ้างงานที่ AI เข้ามาแทนที่ได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะงานใน back-office เช่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยคาดการณ์ว่ากว่า 30% ของตำแหน่งงานในสำนักงานเหล่านี้อาจถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติภายในระยะเวลาห้าปี ซึ่งอาจส่งผลให้มีการสูญเสียตำแหน่งงานประมาณ 7,800 ตำแหน่ง
AI มีแนวโน้มที่จะเข้ารับตำแหน่งงานซ้ำๆ มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานของผู้หญิง ตัวอย่างเช่น โมเดล ChatGPT ของ OpenAI Inc. สามารถค้นหา ทบทวน และสรุปข้อความจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นงานที่ปกติแล้ว ผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับทักษะการใช้ภาษา ไม่ว่า การเขียน การฟัง เช่น นักกฎหมาย มักจะใช้เวลาดำเนินการนานกว่ามากจึงจะสำเร็จ หรือในงานประเภทบริหารทรัพยากรมนุษย์ อย่างการสรรหาบุคลากร AI สามารถทำให้กระบวนการคัดแยกเรซูเม่เป็นอัตโนมัติ ซึ่งเป็นงานที่เคยต้องใช้คนมาก
อย่างไรก็ตาม รายงานของ Revelio Labs ระบุด้วยว่า คนงานที่มีทักษะสูงจะรอดพ้นจากภัยคุกคามที่ทำให้ไม่รู้สึกปลอดภัยกับงานของตน การวิจัยเบื้องต้นยังแสดงให้เห็นว่า generative AI อาจส่งผลกระทบต่ออาชีพที่มีรายได้สูงมากกว่างานที่ต้องใช้แรงงานหรือใช้การผลิตแบบดั้งเดิม