
ผู้เขียน : รมิดา ลีลาพตะ สำนักงาน กสทช.
กิจการวิทยุกระจายเสียงเป็นสื่อดั้งเดิมที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีตเช่นเดียวกับกิจการโทรทัศน์ สำหรับประเทศไทยการส่งวิทยุกระจายเสียงเป็นครั้งแรกให้ประชาชนได้รับฟังเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ผ่าน “สถานีวิทยุกรุงเทพ ที่พญาไท” จากวันนั้นเป็นต้นมา วิทยุกระจายเสียงกลายเป็นสื่อที่คนไทยนิยมใช้ติดตามข้อมูลข่าวสารของภาครัฐและสังคมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเข้าถึงได้ง่าย มีความรวดเร็ว อุปกรณ์ราคาไม่แพง และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรับบริการ
เมื่อพิจารณาเทียบกับการรับชมโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกันในอดีต จะพบว่า วิทยุกระจายเสียงมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากบริการโทรทัศน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การเป็นสื่อที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารซึ่งสะท้อนความต้องการของผู้ฟังในระดับพื้นที่ได้ดี มีจุดแข็งในการให้บริการที่เข้าถึงได้เฉพาะจุด เฉพาะสถานที่ จึงตอบโจทย์ความจำเป็นในบางสถานการณ์ เช่น การเตือนภัยพิบัติในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้อย่างทันท่วงที และเฉพาะเจาะจงกว่าการส่งข้อมูลไปยังสื่อโทรทัศน์ที่ให้บริการแพร่เสียง แพร่ภาพในระดับประเทศ
ลักษณะเฉพาะนี้ทำให้เนื้อหาหรือข้อมูลข่าวสารที่ผลิตออกสื่อวิทยุคำนึงถึงความต้องการ ความนิยม และความจำเป็นของคนในพื้นที่ที่ออกอากาศเป็นหลัก และทำให้บริการวิทยุยังคงอยู่และเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมของคนในระดับชุมชนท้องถิ่นจนมาถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร บริการอินเทอร์เน็ตกลายเป็นบริการสำคัญที่เป็นช่องทาง (Platform) ส่งผ่านข้อมูลข่าวสาร (Information) และเนื้อหารายการ (Content) ที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้สะดวกสบายในทุกที่ทุกเวลาจนมีผลกระทบต่อการให้บริการและการทำธุรกิจของสื่อทั้งวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ไปจนกระทั่งสื่อสิ่งพิมพ์ ในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมา เราจึงพบเห็นการปรับตัวของผู้ให้บริการสื่อเดิมเพื่อให้แข่งขันและอยู่รอดได้ นั่นคือการใช้แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตต่อยอดธุรกิจเพื่อให้ผู้บริโภคสื่อของตนสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้หลากหลายช่องทางมากขึ้น
จึงอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตแม้เข้ามามีบทบาทในลักษณะการแทรกแซง (Disrupt) การให้บริการของสื่อเดิม แต่ก็มีส่วนในการเติมเต็มให้บริการสื่อเดิมมีช่องทางในการนำเสนอเนื้อหาได้มากขึ้น ที่สำคัญคือผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการมีทางเลือกรับสื่อที่ตนนิยมได้ในหลากหลายช่องทางโดยปราศจากข้อจำกัดใด ๆ เมื่อเทียบกับในอดีต
หากวิเคราะห์สถานการณ์วิทยุกระจายเสียงในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่า โดยภาพรวมคนไทยยังคงใช้เวลาในการรับสื่อวิทยุอยู่บ้าง แต่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการฟังไปอย่างมากจากในอดีต เนื่องจากการดำเนินชีวิตของผู้คนมีความเร่งรีบและแข่งขันกันมากขึ้น ในขณะที่มีทางเลือกมากขึ้น การรับสื่อจึงเปลี่ยนจากการรอฟังข้อมูลข่าวสารตามผังรายการวิทยุ กลายเป็นการเลือกเสพสื่อที่ทันเหตุการณ์ สั้นกระชับ และน่าสนใจผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งผู้ฟังนิยมรับสื่อที่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ดำเนินรายการได้ ทำให้การฟังวิทยุผ่านเครื่องรับวิทยุแบบเดิมมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก
ผู้ให้บริการวิทยุเกือบทุกคลื่นจึงต้องปรับกลยุทธ์โดยใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ และแอปพลิเคชั่นอื่นที่เป็นที่นิยมออกอากาศแบบสด (Live Streaming) โดยเฉพาะรายการข่าว เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์สื่อสารกับผู้ฟังได้ทันต่อสถานการณ์และดึงผู้ฟังไว้ให้อยู่ในบริการ หรือคลื่นที่ตนให้บริการต่อไป ผลสำรวจพฤติกรรมของผู้ฟังวิทยุทั้งประเทศในปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันยังคงมีผู้เปิดฟังวิทยุทุกวัน (แบบไม่แยกช่องทางการรับฟัง) อยู่ในสัดส่วนถึง 61% และมีผู้เคยฟังวิทยุผ่านช่องทางออนไลน์อยู่ในสัดส่วนถึง 67%
เมื่อพิจารณาระบบนิเวศของกิจการวิทยุกระจายเสียงในบริบทของอุตสาหกรรมสื่อที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันพบว่า กิจการวิทยุกระจายเสียง ประกอบด้วย ผู้เล่น (Players) ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ในห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ของกิจการประเภทนี้จะเห็นถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมในบริการวิทยุกระจายเสียงแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ผู้ผลิตเนื้อหา 2) ผู้เผยแพร่เนื้อหา 3) ผู้รับส่งสัญญาณ 4) ผู้ผลิตอุปกรณ์ และ 5) ผู้ฟัง โดยแบ่งบทบาทได้ดังภาพต่อไปนี้
จากห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ดังกล่าว สามารถสรุปประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมกระจายเสียงได้ว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานซึ่งมีผลต่อการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ฟัง ซึ่งอยู่ปลายน้ำได้มากที่สุด ได้แก่ ผู้ผลิตเนื้อหารายการ (Content Creators) เนื่องจากการแข่งขันของกิจการประเภทนี้ไม่ใช่เป็นการแข่งขันระหว่างผู้เผยแพร่เนื้อหา (Broadcasters) หรือผู้ถือครองคลื่นความถี่ (Multiplexers) เท่านั้น อีกต่อไป
เพราะจากพฤติกรรมการรับฟังวิทยุของผู้บริโภคที่มีทางเลือกมากกว่าหนึ่งช่องทาง ทำให้เนื้อหารายการ (Content) เป็นสินค้าและบริการที่สำคัญ ที่จะดึงดูดผู้ฟังไว้กับผู้ให้บริการ และทำให้การแข่งขันของกิจการประเภทนี้ดำเนินต่อไปได้ ไม่ว่าจะเผยแพร่ผ่านช่องทาง (Platform) ใด ดังนั้น ผู้ผลิตเนื้อหาจึงเป็นกลุ่มผู้เล่นต้นน้ำที่สำคัญที่สุดในห่วงโซ่อุปทาน ที่ทำหน้าที่ผลิตเนื้อหาให้มีความน่าสนใจ เป็นที่นิยม และมีมูลค่า เพื่อรักษาฐานผู้ฟังและดึงดูดผู้ฟังกลุ่มใหม่ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาที่สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการกลุ่มอื่นในห่วงโซ่อุปทาน และส่งผลให้มูลค่าตลาดของกิจการกระจายเสียงเพิ่มสูงขึ้น และอยู่รอดได้
การเปลี่ยนแปลงที่พบ คือ ผู้ประกอบการกลุ่มอื่น โดยเฉพาะผู้เผยแพร่เนื้อหา (Broadcasters) และผู้ถือครองคลื่นความถี่ (Multiplexers) มีกลยุทธ์ทางธุรกิจแบบควบรวมกิจการในแนวดิ่ง (Vertical Integration) โดยการขยายกิจการไปสู่การผลิตเนื้อหา พร้อมกับดำเนินการออกอากาศเอง ทำให้ผู้ให้บริการรายใหญ่บางรายมีอำนาจทางการตลาดมากขึ้น และเกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และสามารถควบคุมคุณภาพทั้งในเชิงเนื้อหาและในเชิงเทคนิคการออกอากาศได้ด้วยตนเอง แม้ในเชิงการแข่งขัน ผู้เล่นลักษณะนี้จะมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ
แต่เนื่องจากกิจการกระจายเสียงโดยเฉพาะในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะ คือการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ และกำลังส่งวิทยุมีรัศมีครอบคลุมพื้นที่ให้บริการได้ไม่กว้างขวางนัก ทำให้การแข่งขันมีลักษณะเป็นการแข่งกันในเชิงภูมิศาสตร์ การพิจารณาส่วนแบ่งและขอบเขตตลาดจำเป็นต้องนำปัจจัยหรือตัวแปรทางภูมิศาสตร์เข้ามาพิจารณาด้วย ซึ่งอาจพบว่าแม้ในบางพื้นที่มีการกระจุกตัวหรือมีผู้เล่นรายใหญ่บางรายครอบครองพื้นที่ให้บริการอยู่ในหลายจังหวัด แต่อาจไม่สามารถใช้ความได้เปรียบแสดงพฤติกรรมการผูกขาดตลาดได้ ตราบใดที่เนื้อหารายการไม่เป็นที่นิยมหรือไม่สามารถดึงดูดผู้ฟังในพื้นที่นั้นได้ดีพอ
ความกังวลในเรื่องการกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียงที่ผ่านมาจึงเป็นประเด็นเรื่องความสามารถในการครอบงำทางความคิดผ่านเนื้อหาของผู้ประกอบการที่ถือครองคลื่นความถี่ หรือมีสถานีวิทยุที่ให้บริการจำนวนมาก และครอบคลุมหลายพื้นที่มากกว่า จะเป็นเรื่องการผูกขาดตลาด หรือการกำกับดูแลการแข่งขัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวถูกลดทอนความสำคัญลงไป เมื่อผู้ฟังสามารถเข้าถึงเนื้อหาสื่อได้ในหลากหลายช่องทางมากขึ้น และมีผู้ผลิตสื่อหรือเนื้อหาเผยแพร่ได้ง่ายและหลากหลายมากขึ้น
การเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ส่งผ่านเนื้อหาบนโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งครอบคลุมการเข้าถึงของประชาชนถึง 98% ทั่วประเทศ กลายเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทายสำหรับผู้ให้บริการวิทยุกระจายเสียง ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ ทำให้ต้องนำเอาจุดแข็งหรือเสน่ห์ของบริการ นั่นคือ การนำเสนอเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย ตอบโจทย์ผู้ฟังในพื้นที่ ทักษะความสามารถของผู้ดำเนินรายการ การเป็นบริการที่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านความมั่นคงปลอดภัยต่อสาธารณะ และการเข้าถึงความต้องการของคนในท้องถิ่นหรือชุมชน มาใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยนำแพลตฟอร์มออนไลน์มาเป็นช่องทางต่อยอดรักษาฐานผู้ฟังของตนไว้ให้ได้
สำหรับองค์กรกำกับดูแลนอกจากการกำกับดูแลทางเทคนิคเพื่อควบคุมคุณภาพการให้บริการและคอยป้องปรามเนื้อหารายการที่อาจมีผลกระทบต่อสังคมแล้ว องค์กรกำกับดูแลไม่ควรมีกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อตลาดและการแข่งขัน แต่ต้องเป็นผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้กิจการวิทยุกระจายเสียงยังคงอยู่รอด เป็นสื่อที่ให้บริการทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ รวมทั้งควรสนับสนุนในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยุกระจายเสียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณและสามารถนำจุดแข็งไปต่อยอดทำประโยชน์ให้กับภาครัฐและเอกชนต่อไปได้