“สมคิด” ปักหมุด ปี 2020 คนไทยได้ใช้ 5G เตรียมจัดงาน BIG DATA THAILAND เข้าสู่โลกดิจิทัลเต็มตัว

 

วันที่ 6 มิถุนายน 2561 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องฉัตร บอลรูม โรงแรงสยาม เคมปินสกี กรุงเทพ ฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยก่อนพีธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ระหว่างหัวเว่ย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะลงทุนอย่างต่อเนื่องในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งขณะนี้โครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้านจะครบ 7 หมื่นกว่าหมู่บ้านภายในปีนี้ และต่อไปต้อง Connect ไปยังโรงเรียน อนามัย สาธารณสุข

ขณะที่การลงทุนโคงการซับมารีนเคเบิ้ลขณะนี้อยู่ในช่วงสำคัญ คือ การเจรจาเพื่อลิงค์กับเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเรื่องดิจิทัลของภูมิภาคนี้ ถือเป็นจุดเป็นจุดตายของการเป็นผู้นำเรื่องดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อไปทั่วโลก ไม่ต้องไปสิงคโปร์ เป็นการบ้านของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

“ที่เราคิดว่า 5 G จะเกิดขึ้นได้ในอีก 5 ปี ช้าไป ประเทศจีนจะมี 5 G ในปีหน้า เมื่อ 5 G เกิด ทุกประเทศจะไปสู่ 5 G ผลลัพธ์ภาคการผลิต ภาคบริการจะเกิดขึ้นรุนแรงมาก แต่เราจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ประเทศไทยจะเซตไว้ว่า ในปี 2020 เราจะปักหมุดในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมี 5 G ให้ได้ ได้หารือกับกสทช.และภาคเอกชนแล้วให้ทุกคนวิ่งไปสู่ตรงนี้โดยมีพันธมิตรเป็นผู้ช่วย เช่น หัวเว่ย”

นายสมคิดกล่าวว่า ต้นปีนี้ถึงต้นปีหน้าสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) จะประกาศมาตรฐาน 5 G ประเทศไทยพร้อมที่จะกระโดดเข้าไป เพราะดิจิทัลจะทำให้เราก้าวกระโดดได้และแจ้งเกิดในโลกดิจิทัล เพื่อให้ก้าวข้ามตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 4.8 % และช่วยคนจนในชนบทซึ่งเป็นหนทางของการเจริญเติบโตอย่างทั่วถึง

จับมือ “หัวเว่ย” พัฒนาชนบท-SMEs-การศึกษา

นายสมคิดกล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ หัวเว่ยเป็นพันธมิตรที่ดีมาโดยตลอด ช่วยเหลือประเทศไทยเป็นอย่างมาก เช่น ในเรื่องการพัฒนาดิจิทัลเพราะรัฐบาลมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศไทยให้ไปสู่ดิจิทัล เราต้องการให้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ขณะเดียวกันก็เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยจะจัดงาน BIG DATA THAILAND เพื่อชี้ให้เห็นว่าเราจะเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว

ดังนั้นเราจึงต้องมีพันธมิตรและอยากให้หัวเว่ยมาช่วยใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การเปลี่ยนแปลงภาคชนบทให้มีความเข้มแข็ง 2.เรื่องของ SMEs ซึ่งเสียเปรียบและด้อยโอกาสทำอย่างไรให้เข้มแข็ง 3.เรื่องการศึกษาไม่ให้เกิดความแตกร้าวในสังคมเกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ทั้งนี้หัวเว่ยได้ลงทุน OPEN PLATFORM เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ PLATFORM เพื่อสานต่อนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม STARTUP NATION

หัวเว่ย ลงทุน อะคาเดมี ใน EEC

“หัวเว่ยจะเข้าไปลงทุน หัวเว่ย อะคาเดมี ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเข้าไปเชื่อมโยงและเปลี่ยนผ่านจังหวัดต่าง ๆ จาก 77 จังหวัด อาจจะได้มา 20 จังหวัด เกิดเป็น SMART CITY”

นายสมคิดกล่าวต่อว่า นับเป็นโอกาสที่ดีเพราะเป็นช่วงที่คนไทยเริ่มตื่นตัวมาก เพราะมีหมายเลขโทรศัพท์ 121 ล้านเลขหมาย 40 ล้านคนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต มีมูลการค้าขายออนไลน์ (อีคอมเมิร์ซ) มากถึง 80 มิลเลี่ยนยูเอสดอลลาร์ การลงทุนในภาคธุรกิจการเงิน ดิจิทัลไฟแนนซ์ การลงทุน IoT AI และ BIG DATA เพราะฉะนั้นใน 2-3 ปีข้างหน้าภาคเอกชนจะเกิดคามเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงมาก ขณะที่ภาครัฐ 2-3 ปีที่ผ่านมามีโครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน และในปีนี้งบประมาณของกระทรวงดีอีจะเน้นหนักในเรื่องการลงทุนเรื่องดิจิทัล เช่น IoT AI และ BIG DATA

อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจไม่ดี ไม่ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นไม่มี ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการปฏิรูป เพราะฉะนั้นต้องพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศก่อนให้ได้ ซึ่งขณะนี้สถาบันเศรษฐกิจทุกสำนักพยากรณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวเพราะฉะนั้นปีนี้ตัวเลขจีดีพีเกิน 4 % แน่นอน ล่าสุดธนาคารโลก OECD และ IMF ออกมายืนยันชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว และจะส่งผลความเจริญลงไปสู่เศรษฐกิจฐานล่างให้ทั่วถึง

 เพิ่มงบ R&D 1 % ต่อจีดีพี

“ต่อไปนี้เราต้องเปลี่ยนแปลง สร้างสิ่งที่มีคุณค่ามากขึ้น (Value Driven) เช่น คุณภาพ มาตรฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งบประมาณด้าน R&D ปีนี้เพิ่มขึ้น จาก 0.5 ต่อจีดีพี เป็น 0.78 ต่อจีดีพีและจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 % และเป็น BAST RECORD สูงกว่า 1 % ให้ได้ เพื่อนำไปสู่นวัตกรรมและเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงและสำคัญที่สุดคือเรื่องเทคโนโลยี”

นายสมคิดกล่าวว่า ประเทศต้องเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเป็นสังคมผู้ประกอบการ (enterpreneur) สร้างความสมดุลระหว่างขนาดใหญ่กับบริษัทเล็ก ลดอุปสรรคและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะดิจิทัลเทคโนโลยี ใช้ดิจิทัลเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาคการผลิตแต่รวมไปถึงเรื่องการศึกษา สาธารณสุข ถ้าเราตกรถไฟขบวนนี้จะกลายเป็นผู้ตามทันที นอกจากนี้ การสร้างเมืองขึ้นมา นอกจากกรุงเทพ ฯ หรือ EEC โดยนำดิจิทัลหรืออินเตอร์เน็ตเข้าไปเพื่อเข้าไปพัฒนาหมู่บ้าน การผลิต การท่องเที่ยว ผังเมือง คอมมูนิตี้

นายสมคิดกล่าวว่า ใช้เวลา 3-4 ปีนี้ต้องเปลี่ยนผ่านประเทศให้ได้ รัฐบาลดำเนินนโยบาย e-government Prom-pay และ ลงทุนใน Big data ไปแล้วและหากทำให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็ต้องสานต่อ เพราะฉะนั้นมั่นใจว่า 4-5 ปีนี้ ประเทศเปลี่ยนผ่านแน่นอน