
ตรังเสี่ยงประสบปัญหาภัยแล้งใน 10 อำเภอ ตั้งคณะทำงานเตรียมพร้อมรับมือในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง 24 ชั่วโมง
นายสกุล ดำรงเกียรติกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ จังหวัดตรังได้จัดให้มีการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์และเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2567 จังหวัดตรัง ครั้งที่ 1/2567 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรัง ได้รับแจ้งจากกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่า ได้ติดตามสภาพอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าภาคใต้ปริมาณฝนรวมจะน้อยกว่าค่าปกติ อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศสูงกว่าค่าปกติประมาณ 1.0 ถึง 1.5 องศาเซลเซียส (ค่าปกติ 31.8 องศาเซลเซียส)
“ดังนั้นเพื่อให้การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2567 ของจังหวัดตรังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรังได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ และเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2567 ขึ้น
พร้อมจัดประชุมติดตามสถานการณ์ ข้อมูลสภาพอากาศ สภาพน้ำท่า ปริมาณฝน และปริมาณน้ำในแหล่งเก็บน้ำขนาดต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำต้นทุนและความต้องการใช้น้ำในด้านต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาวางแผนการใช้น้ำในลักษณะต่าง ๆ ทั้งเพื่อการอุปโภค บริโภค การรักษาระบบนิเวศ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม
รวมถึงกำหนดแนวทางในการระบายน้ำและกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ให้เป็นไปอย่างครอบคลุมสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้จัดเตรียมกำลังคน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ รถยนต์บรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำ ให้มีความพร้อมปฏิบัติงานตามแผนเผชิญเหตุตลอด 24 ชั่วโมงด้วย” นายสกุลกล่าว
ด้านนางสาวเสาวลักษณ์ กัณหวงศ์ ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า จังหวัดตรังประสบปัญหาภัยแล้งล่าสุดเมื่อปี 2559 สำหรับในปี 2567 จังหวัดตรังมีพื้นที่เสี่ยงประสบปัญหาภัยแล้งใน 10 อำเภอ 6 เทศบาล 55 ตำบล 288 หมู่บ้าน จังหวัดตรังจึงได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องจักร และเครื่องมือของทั้งหน่วยงานพลเรือน ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไว้พร้อมสำหรับช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งได้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว
“จังหวัดตรังได้ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ให้กับประชาชน ภาคส่วนต่าง ๆ เข้าใจถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ของตนเอง ทราบถึงมาตรการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน จนเกิดความร่วมมือในการประหยัดน้ำ”